ถึง…เธอ
จากประสบการณ์การเดินทางของผม ญี่ปุ่นนับประเทศที่แปลกที่สุดอยู่เรื่องหนึ่งนั่นคือ…เป็นประเทศที่เมื่อเราได้ไปเยือนแล้ว เราจะยังอยากไปเยือนประเทศนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างไม่มีเบื่อ
อย่างผมเอง คุณคงจะพอทราบจากที่ผมเคยเล่าไปแล้วว่าญี่ปุ่นคือประเทศต่างประเทศแรกที่ผมมีโอกาศไปเยือน และนับจากครั้งนั้นจนถึงบัดนี้..ผมได้ไปเยือนประเทศนี้ทั้งเรื่องงานและเพื่อท่องเที่ยวแล้วไม่ต่ำกว่า20 ครั้ง
แต่ถ้าถามว่าผมอยากอยากจะไปอีกมั้ย..คำตอบก็คือผมพร้อมจะไปเที่ยวประเทศนี้ได้เรื่อยๆแบบไม่มีเบื่อ
ดังนั้นในจดหมายฉบับนี้ผมจึงอยากเล่าให้คุณฟังถึงประสบการณ์ไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งหนึ่งที่ผมประทับใจมากๆและคาดว่าจะเป็นการเดินทางที่คนรักดอกไม้แบบคุณจะสนใจเช่นกัน นั่นคือการเดินทางไป Kawaguchiko
ปกติเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายนของทุกปี จะเป็นช่วงหนึ่งที่เหมาะสมจะเดินทางไปเยือน Kawaguchiko แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของคนไทยที่อยู่ไม่ไกลจากโตเกียว รวมทั้งสามารถเดินทางแบบไปเช้าเย็นกลับได้
นอกจากในช่วงเวลานี้ อากาศที่ Kawaguchiko กำลังเย็นสบายแล้ว สภาพอากาศก็โปร่ง ท้องฟ้าก็เปิด เป็นใจให้เราได้เห็น ภูเขาไฟ Fuji แบบเต็มตา
แถมใกล้ๆกันกับ Kawaguchigo ยังมี ทุ่งดอก Pink Moss สีชมพูกว้างขวางละลานตาโดยมีภูเขาไฟฟูจิเป็นฉากหลังให้แบบเว่อวังอลังการซึ่งจะเปิดให้ชมเฉพาะเดือนเมษายน– พฤษภาคม เท่านั้นซึ่งที่นี่ผมคิดว่าจะเป็นสวรรค์สำหรับคนรักดอกไม้เช่นคุณแน่นอน
แต่ถ้าคุณเคยได้ยินคำถามมาบ้างว่าเจ้า Pink Moss นี่ควรจะไปหรือไม่ เพราะมีเรื่องเล่าทั้งบวกและลบของสถานที่แห่งนี้
สำหรับผมคิดว่าประเด็นนี้เป็นเรื่องนานาจิตตัง อยู่ที่ชอบหรือไม่ชอบ หรือแล้วแต่ว่าใครอยากจะมองในมุมไหน นอกจากนั้นก็มีประเด็นเรื่องแต้มบุญเข้ามาเกี่ยวด้วย เพราะบางคนเดินทางไปเร็วไป เจ้า Pink Moss ก็ยังไม่บานเต็มที่ บางคนไปช้า เจ้า Pink Moss ก็ดันเหี่ยวเฉาไปเสียแล้ว บางทีก็เกิดอากาศวิปริตผิดเพศ ดอก Pink Moss ก็มีผลกระทบไปด้วย จึงยากมากๆที่จะบอกว่าไปแล้วจะได้ไปเจอกับความสวยอย่างที่หวังกันหรือเปล่า
แต่สำหรับผมถือว่าโชคดีที่ช่วงที่ผมไป Pink Moss ถือว่ากำลังบานสะพรั่งละลานตาไปทั่ว ผมเลยได้ภาพสวยๆอย่างที่หวังไว้มาเยอะเลย
นอกจาก Pink Moss แล้ว บริเวณใกล้ๆ Kawaguchiko ยังมี Chureito Pagoda หรือที่คนไทยเรียกติดปากว่า เจดีย์ 5 ชั้น อยู่ด้วย ใครที่ไปเที่ยวแถว Kawaguchiko แล้วพลาดการมีภาพเจดีย์ 5 ชั้นกับภูเขาไฟฟูจิอยู่ในอัลบั้ม คงต้องบอกว่าพลาดไปมากจริงๆ
การเดินทางไป Kawaguchiko ของผมในครั้งนั้นเป็นแบบ1 Day Trip โดยจะเดินทางออกจากโตเกียวตั้งแต่เช้าตรู่ และกลับมาตอนค่ำๆ
การเดินทางไปเที่ยว Kawaguchiko โดยมี Pink Moss และ เจดีย์ 5 ชั้นอยู่ในโปรแกรมด้วยภายใน1 วัน คงต้องยอมรับว่าการท่องเที่ยวบริเวณ Kawaguchikoอาจจะไม่ครบถ้วน เพราะเฉพาะ Kawaguchikoอย่างเดียวถ้าจะให้จุใจก็ควรไปพักค้างคืนแบบ 2 วัน 1 คืนด้วยซ้ำ เพื่อให้ชมความสวยงามและดื่มด่ำบรรยากาศได้ถ้วนทั่ว แต่ถ้าคุณมีเวลาน้อยเหมือนผม จะลองเอาแผนของผมไปใช้ก็ไม่ว่ากัน
ในวันเดินทาง…ผมตื่นแต่เช้าตรู่ ถ้าคุณจะเดินทางไป Kawaguchikoไปเช้าเย็นกลับ ผมแนะนำว่าควรจะเริ่มเดินทางตั้งแต่เช้าเพราะรถบัสไป Kawaguchiko เที่ยวแรกจะเริ่มตอน6โมงเช้า ซึ่งสามารถมาซื้อตั๋วและขึ้นรถได้ที่ SHINJUKU EXPRESSWAY BUS TERMINAL ซึ่งตั้งอยู่ที่สถานีรถไฟ JR SHINJUKU ทางออก SOUTH EXIT
โดยจุดขายตั๋วจะตั้งอยู่บนชั้น 4 ซึ่งเราสามารถจองตั๋วล่วงหน้าจากอินเทอร์เน็ตไปก่อนได้ เมื่อเดินทางไป ถึงจะได้ออกตั๋วแล้วรอรถออกเลย
ช่วงเวลาที่เหมาะในการเดินทางไป Kawaguchiko นอกจากเดือนพฤษภาคม ถึงมิถุนายนดังที่ผมกล่าวไว้แล้ว หากคุณไม่ได้สนใจจะไปชม Pink Moss การเดินทางไปช่วงเมษายน ที่ดอกซากุระบานซึ่งควรจะเช็คเวบพยากรณ์จากญี่ปุ่นก่อน หรือจะเดินทางไปช่วงพฤศจิกายนที่ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีก็เป็นอีก 2 ช่วงเวลาที่เหมาะมากๆ เพราะจะได้ภาพที่สวยงามไปอีกแบบ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องคุณต้องพยายามหาวันที่ท้องฟ้าเปิด เพราะความสวยงามทุกสิ่งอย่างของบริเวณนี้ล้วนมีภูเขาไฟฟูจิเป็นไฮไลต์สำคัญเสมอ หากวันที่เราไปเที่ยว เกิดมีเมฆหมอกหนาทึบบดบังความสวยงามและความยิ่งใหญ่ของภูเขาไฟฟูจิขึ้นมาก็คงน่าเสียดายมากๆ
เนื่องจากวันนี้ผมออกเดินทางตั้งแต่เช้า พอขึ้นรถปุ๊บ สติผมก็เลือนหายไปเลย 555 มารู้สึกตัวอีกทีก็เห็นภูเขาไฟฟูจิอยู่ข้างๆแล้ว แต่วันนี้ดูท่าฤกษ์ไม่ค่อยดีเพราะท้องฟ้ามีเมฆค่อนข้างมาก นั่นหมายถึงผมอาจไม่ได้เห็นความงามของภูเขาไฟฟูจิได้เต็มที่
การเดินทางด้วยรถบัสจากสถานีชินจูกุใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที รถบัสก็เดินทางมาถึง Kawaguchiko Station ครับ
เมื่อมาถึงสถานี Kawaguchiko แล้วให้คุณลองเข้าไปในบริเวณสถานีก่อนนะคับ ไปลองดูข้อมูลต่างๆ นานาก่อน จะได้แพลนการท่องเที่ยวของตัวเองได้ถูก รวมทั้งได้จัดการเรื่องบัตรโดยสารต่างๆให้เรียบร้อย ซึ่งการท่องเที่ยวใน Kawaguchikoสามารถเดินทางได้ทั้งรถบัสท่องเที่ยว หรือเช่าจักรยาน
การเดินทางที่สะดวกมากๆสำหรับที่นี่คือการใช้บริการ Retro Bus หรือ Sightseeing Bus ซึ่งหากใครมีแผนที่จะใช้เวลาที่นี่ค่อนข้างเยอะก็สามารถซื้อตั๋วขึ้นรถบัสแบบขึ้นลงได้ไม่จำกัด ทั้งสายสีแดง และสายสีเขียว ภายในระยะเวลา 2 วัน ( Saiko sightseeing pass) ราคา 1300 เยนโดยสามารถซื้อได้ที่สถานีรถไฟ Kawaguchiko Station นี้ได้เลย
นอกจากนั้นยังมีอีกออฟชั่นคือบัตร Kawaguchiko R Coupon ให้เลือก ซึ่งบัตรแบบนี้จะสามารถใช้ขึ้นกระเช้าเพื่อชมวิว และล่องเรือในทะเลสาบ Kawaguchiko ได้ด้วยใน ราคา 2,360 เยน
ก่อนเดินทาง ผมคงต้องขอเตือนคุณสักนิด ถ้าคุณมีเวลาน้อยๆ ว่ารถ Sightseeing Bus จะมีเวลาการออก เป็นรอบๆ โดยเริ่มต้นจากป้ายที่ 1 คือบริเวณ สถานีรถไฟ Kawaguchiko Station และจะวนไปตามจุดต่างๆ ดังนั้นจึงควรเผื่อเวลาสำหรับการรอรถแต่ละรอบไว้ด้วย
จริงๆ แล้วการท่องเที่ยวที่นี่สามารถใช้เวลาทั้งวันได้เลย แต่เมื่อผมมีแพลนว่าจะเดินทางไปเจดีย์ 5 ชั้นและไปชม pink moss ด้วยเลยคิดว่าคงไปแค่ 2 สถานที่สำคัญคือ
จุดหมายแรกใน Kawaguchiko ที่ใครๆต้องไป คือ ป้ายที่ 11 Yuransen Ropeway Iriguchi
ถ้าคุณซื้อ R Coupon จะสามารถแวะป้ายนี้เพื่อขึ้นกระเช้าลอยฟ้าคาชิคาชิ (Kachikachiyama Ropeway) ฟรีได้เลย แต่หากคุณซื้อบัตรธรรมดาต้องซื้อบัตรกระเช้าต่างหากครับ
สำหรับ Highlight ของจุดนี้คือการขึ้นกระเช้า ไปจุดชมวิวมุมสูงจากบนยอดเขาเท็นโจที่มีรูปปั้นกระต่าย และทานุกิ พร้อมๆกับการชมความงามของภูเขาไฟฟูจิ
ภาพที่คาดว่าหลายคนเห็นจนชินตาและถือเป็นภาพถ่ายบังคับเมื่อมาถึงที่นี่คือภาพกระต่ายกับภูเขาไฟฟูจิ
สำหรับเจ้ากระต่ายและทานูกิที่ดูน่ารักมุ้งมิ้งกิ่งก่องแก้วนี้ ผมแนะนำให้มโนแต่งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสัตว์ 2ตัวนี้เอาตามจินตนาการของคุณไปเลยคับจะได้อรรถรสกว่า อย่าพยายามหานิทานเรื่องนี้มาอ่านเลยเพราะถ้าได้ลองรู้ความจริง คุณจะไม่สามารถถ่ายภาพกับเจ้ากระต่ายและทานุกิคู่นี้และให้ความรู้สึกคิขุอาโนแนะเหมือนเดิมได้อีกแล้ว ฮา
เขียนนำมาขนาดนี้ ผมว่าคุณคงเข้า Google ไปเรียบร้อย 5555
พอถ่ายรูป และชมวิวภูเขาไฟฟูจิมุมสูงพอสมควรแล้วก็ได้เวลาไปจุดต่อไป ซึ่งสำหรับผมเป็นจุดสุดท้ายสำหรับที่ Kawaguchiko นี้ และขอแนะนำเลยว่าใครมา Kawaguchiko แล้ว ยังไงก็ต้องแวะจุดนี้ให้ได้ นั่นคือป้ายที่ 22 Kawaguchiko Natural Living Centerเพราะที่นี่เป็นสถานที่ๆ สามารถเห็นภูเขาไฟฟูจิได้ได้แบบเต็มๆ โดยมีผืนน้ำและพงหญ้าเป็นฉากหน้าทำให้ภาพที่ออกมาสวยงามแบบไร้ที่ติ
วันนั้นผมถ่ายภาพเองแต่อากาศไม่เป็นใจภาพเลยออกมาปัง…ปังปินาศ 555ผมเลยขอยืมภาพชาวบ้านมาให้คุณชมนะคับ
ชื่นชมความสวยงามกันแบบแตะเบรกแล้ว ผมต้องใช้คำนี้จริงๆ ไม่งั้นจะใช้เวลาเลยเถิดไปมาก ผมก็รอขึ้นรถบัสวนกลับมายังสถานีรถไฟเพื่อที่จะนั่งรถไฟสาย Fujikyu Railway ต่อไปยังเจดีย์ 5 ชั้น ซึ่งตรงนี้ผมแนะนำว่าให้เช็คเวลารถออกไว้ตั้งแต่มาถึงสถานี Kawaguchiko เพื่อจะได้แพลนการเดินทางและใช้เวลาแต่ละจุดถูก
สำหรับการเดินทางด้วยรถไฟไปเจดีย์ 5 ชั้นนั้นใช้เวลาเพียงไม่นาน น่าจะประมาณแค่สิบกว่านาที(ห่างกันเพียง 5 สถานี) ซึ่งระหว่างทางเราจะผ่านสถานี Mt. Fuji ซึ่งผมเห็นนักเดินทางในชุดปีนเขาลงที่สถานีนี้กันเยอะมาก แสดงว่าสถานีนี้น่าจะเป็นจุดที่ขึ้นไปปีนเขาไฟฟูจิได้
สำหรับสถานีที่เราจะต้องลงเพื่อไปยังเจดีย์ 5 ชั้นนั้นคือสถานี Shimoyoshida ซึ่งตัวสถานีนั้นจะอยู่ฝั่งตรงข้ามให้เดิมข้ามรางรถไฟไป
เมื่อเข้าสู่ตัวสถานีแล้ว บริเวณทางออกจะมีป้ายบอกวิธีไปยังเจดีย์ 5 ชั้น และระหว่างเดินไปนั้นก็ยังมีป้ายคอยบอกเป็นระยะๆ เช่นกัน อาจจะดูลดเลี้ยวหน่อยแต่ไม่น่าจะหลงครับ
เมื่อเข้าสู่ตัวสถานีแล้ว บริเวณทางออกจะมีป้ายบอกวิธีไปยังเจดีย์ 5 ชั้น และระหว่างเดินไปนั้นก็ยังมีป้ายคอยบอกทางเป็นระยะๆ เช่นกัน อาจจะดูลดเลี้ยวหน่อยแต่ไม่น่าจะหลงครับ
การเดินไปยังเจดีย์ 5 ชั้นนั้นก็ใช้เวลาอยู่เหมือนกันและยังต้องเดินขึ้นเขาไปด้วย นี่คงเป็นอีกเหตุที่ใครมาเที่ยวแถว Kawaguchiko แล้วควรแวะไปเสียเลยก่อนจะไม่มีแรงเดินเพราะเฉพาะบันไดที่ต้องเดินขึ้นไปยังจุดที่เจดีย์5 ชั้นนั้นก็ราวๆ 400 ขั้นเข้าไปแล้ว ฮา
เจดีย์ 5 ชั้น หรือ Chureito Pagoda เป็นเจดีย์บนภูเขาที่สามารถมองเห็นเมืองฟูจิโยชิดะและภูเขาไฟฟูจิในระยะไกลได้อย่างชัดเจนและงดงาม เจดีย์นี้อยู่ในบริเวณศาลเจ้า Arakura Sengen Shrinซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงสันติภาพปี 1963
บริเวณเจดีย์ 5 ชั้นด้านบนนี้เองที่เป็นจุดถ่ายรูปซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นจุดถ่ายรูปเจดีย์สไตล์ญี่ปุ่นที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งเพราะจะได้ภูเขาไฟฟูจิมาเป็นองค์ประกอบด้วย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เจดีย์แห่งนี้จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาไม่ขาดสาย ซึ่งพอมาได้เห็นของจริงก็สวยสมคำล่ำลือจริงๆ
ภาพภูเขาไฟฟูจิจากมุมนี้ก็ได้ความ Epic มากๆ อยากให้คุณมาเห็นด้วยตาจริงๆ
จบจากการเก็บภาพเจดีย์ 5 ชั้นและภูเขาไฟฟูจิจนหนำใจแล้ว ตอนนั้นเวลาก็ล่วงเลยเข้าช่วงบ่ายต้นๆ ผมจึงตัดสินใจหามื้อเที่ยงทานที่เมืองฟูจิโยชิดะนี้เลยซึ่งจากการหาข้อมูลพบว่าเมืองนี้จะมีร้านอุด้งที่มีชื่อเสียงมากนั่นคือร้าน Sakurai Udon ซึ่งถือเป็นร้านอุด้งแบบ Yoshida แท้ๆให้ทาน โดยอุด้งชนิดนี้ได้รับการคัดเลือกเป็นหนึ่งในอาหารพื้นบ้าน100 เมนูที่ดีที่สุดของญี่ปุ่นด้วย ผมจึงตัดสินใจเดินเข้าเมืองไปหาอุด้งร้านนี้ทาน
ระหว่างเดินเข้าไปในเมืองโดยเดินกลับไปทางสถานีรถไฟ แล้วเดินต่อไปเหมือนจะเดินเข้าไปหาภูเขาไฟฟูจิ ผมมีความรู้สึกเหมือนเราหลงย้อนยุคเข้าไปญี่ปุ่นอีกยุคสมัยหนึ่ง มันอธิบายไม่ถูกเพราะภาพสายไฟระโยงระยางกับเสาไฟที่มีโคมไฟแบบยุคก่อนโดยมีภูเขาฟูจิ (อีกแล้ว) เป็นองค์ประกอบสำคัญอยู่เบื้องหน้า มันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ราวกับสถานที่ตรงหน้านี้ถูกหยุดเวลาไว้ตรงนี้มาเนิ่นนานแล้ว
อีกหนึ่งความแปลกที่รู้สึกได้คือระหว่างที่เดินไปนั้น ผมแทบไม่เจอผู้คนหรือสิ่งมีชีวิตเลย เหมือนเราเดินอยู่ในเมืองร้างจนทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าผู้คนหายไปไหนกันหมด
เดินไปสักพักในที่สุดผมก็เดินมาถึงร้าน Sakurai Udon ซึ่งพอเห็นหน้าร้านก็ชวนให้ผมสงสัยนิดหน่อยว่าร้านนี้ยังเปิดขายอยู่หรือไม่ เพราะสภาพดูเป็นบ้านคนมากกว่าจะเป็นร้านอาหาร
ผมตัดสินใจเปิดประตูแหวกผ้าม่านเข้าไป ซึ่งภาพที่เห็นทำให้ผมก็ต้องถอยกรูดออกมาตั้งหลักอีกรอบ ผมยังอดสงสัยไม่ได้จริงๆว่านี่มันบ้านคนหรือร้านอาหาร
ถ้าคุณเห็นเหมือนที่ผมเห็น คุณก็คงจะสงสัยเพราะภาพที่ผมเจอคือผู้ชายคนนึงนั่งอยู่ที่โต๊ะทานข้าวแบบญี่ปุ่นกำลังก้มลงอ่านหนังสือพิมพ์อย่างเอาจริงเอาจัง ในขณะที่ผู้หญิงอีกคนกำลังนั่งดูทีวีอย่างตั้งใจ ดูยังไงๆ 2 คนนี้ยังกะใช้ชีวิตอยู่ในบ้านตัวเอง5555
สิ่งที่ทำให้ผมรู้ว่าที่นี่คือร้านอุด้งแน่ๆ คือรอบ 2 ที่ผมแหวกม่านเข้าไปใหม่ คราวนี้มีเด็กวัยรุ่นคนนึงออกมาต้อนรับด้วยท่าทีงงๆและแปลกใจสุดขีด ผมเดาจากสภาพเมืองที่เดินผ่านมา ผมคิดว่าร้านนี้คงไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามามากนัก
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางมาเมืองนี้คงลงสถานีรถไฟแล้วไปเจดีย์ 5 ชั้น จากนั้นก็เดินทางกลับเลย
ผมกับน้องพนักงานคนนั้น เราสื่อสารกันด้วยภาษาใบ้สักพัก ผมก็ได้ Yoshida Udon มีชื่อเสียงของเมืองนี้มาทาน ซึ่งสไตล์ของอุด้งจะมีแค่เส้น น้ำซุป เต้าหู้ และผักกระหล่ำโรยหน้า เรียกว่าด้วยองค์ประกอบพื้นๆแบบนี้ถ้าทำไม่อร่อยจริงก็จะเละไปเลยเพราะไม่มีเนื้อสัตว์ใดๆมาเป็นตัวช่วยชูรสชาติเลย
อุด้งถือเป็นเมนูของชนชั้นสูงดั้งเดิมของญี่ปุ่น มีหลักฐานว่าเริ่มมีการคิดค้นเมนูนี้กันตั้งแต่ปี 1241 และถือเป็นอาหารไม่กี่เมนูที่ยังคงรักษารูปแบบดั้งเดิมมาจนทุกวันนี้
สำหรับอุด้งชามนี้ น้ำซุปอร่อยมาก แม้รสชาติไม่ได้เข้มข้นเหมือนราเมง แต่ก็ช่วยชูรสพระเอกของชามนี้คือ เส้นอุด้ง ได้เป็นอย่างดี เส้นอุด้งแบบ Yoshida จะมีชื่อเสียงมากเรื่องความเหนียวนุ่มหนึบ มีความกรุบๆของเส้นนิดๆ คือถ้าเป็น Spaghettiแบบอิตาลีคงพูดได้ว่าเส้นอุด้งแห่งYoshida มีความ Al Dente อย่างมาก
พอได้ลองทานแล้วเรียกว่าแตกต่างจากเส้นอุด้งร้านอื่นๆที่เคยทานเลย แต่ถึงตรงนี้ต้องขอเตือนไว้ก่อนว่าใครไม่ชอบรสชาติแป้งแบบจัดๆก็คงไม่ถูกใจนักเพราะคนที่ชอบทานอุด้งก็คือคนที่ชอบทานเส้นประเภทนี้โดยเฉพาะ
เมื่ออิ่มแล้วผมก็เดินทางกลับไปที่สถานีรถไฟ ซึ่งเมื่อไปถึงช่องขายตั๋วก็ยังปิดอยู่ ถ้าคุณเจอกรณีแบบนี้ก็ไม่ต้องตกใจนะครับเพราะสถานีรถไฟ shimoyoshidaไม่ได้เป็นสถานีรถไฟขนาดใหญ่ จึงไม่ได้มีรถไฟวิ่งตลอดเวลา ดังนั้นช่องจำหน่ายตั๋วจึงจะเปิดขายล่วงหน้าก่อนรถไฟมาถึงไม่นานนัก
นั่งรอไปสักพัก ช่องขายตั๋วก็เปิดขาย ผมก็นั่งรถไฟกลับไปยังสถานี Kawagushiko เพื่อกลับไปนั่งรถบัสไปชมทุ่ง Pink Moss
การไปชมทุ่ง Pink Moss คุณจะต้องนั่งรถบัสสาย Shibazakura Liner ซึ่งจะมีจุดขายตั๋วอยู่บริเวณด้านหน้าสถานีKawaguchikoราคาตั๋วอยู่ที่ 2,000 เยนสำหรับผู้ใหญ่ และ 1,000 เยน สำหรับเด็ก ราคาตั๋วนี้จะรวมค่ารถบัสไปกลับ ค่าบัตรเข้าชมสวน และจะได้รับของที่ระลึกเป็นโปสการ์ดด้วยครับ
เมื่อซื้อตั๋วแล้วก็ไปเข้าแถวรอขึ้นรถตรงป้ายเบอร์ 7 โดยรถบัสแต่ละเที่ยวจะออกห่างกันประมาณ30 นาที
Pink Moss หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า ดอกชิบะซากุระ (Shibazakura) เป็นดอกไม้หลักที่จะปลูกให้นักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชมในเทศกาล Fuji Shibazakura Festival ซึ่งเป็นหนึ่งในเทศกาลท่องเที่ยวยอดนิยมของทั้งนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวทั่วโลกเพราะที่นี่นักท่องเที่ยวจะได้ชมทั้งความสวยงามของดอกไม้และความยิ่งใหญ่ของภูเขาไฟฟูจิไปพร้อมๆกันได้ โดยเทศกาลนี้จะจัดขึ้นทุกปีในช่วงฤดูใบไม้ผลิประมาณเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม แต่ในแต่ละปีช่วงเวลาที่จัดจะไม่ตรงกันซึ่งจะมีการประกาศในเวบไซส์ www.shibazakura.jp/thai/ ล่วงหน้า
จากสถานี Kawaguchiko ผมใช้เวลาเดินทางประมาณ 30นาทีก็ถึงสถานที่จัดงาน รถจะมาจอดที่บริเวณจุดจอดรถด้านนอก จากนั้นก็ต้องเดินเข้าไปในงาน
จุดเด่นที่ผมชอบมากๆของงานนี้คือบริเวณด้านหน้างานจะมีป้ายบอกไว้เลยว่าวันนี้ดอกPink Moss บานกี่ % ซึ่งทำให้เรารู้ชะตากรรมของตัวเองล่วงหน้าไม่ต้องสะไปร้ท์กันในงาน ฮา
โชคดีที่วันที่ผมไป ดอก Pink Moss บานถึง 80%ซึ่งเรียกว่าบานเกือบจะเต็มสวนเลยทีเดียว
ดอก Pink Moss หรือชิบะซากุระเป็นดอกไม้ที่มีลักษณะเป็นพุ่มดอกไม้เตี้ยๆ ตัวดอกมี 5 แฉกคล้ายกับดอกซากุระ ถึงแม้เราจะเรียกดอกชนิดกันติดปากว่า Pink Moss แต่จริงๆแล้วดอกไม้ชนิดนี้มีด้วยกันหลายสีซึ่งในงานเทศกาลนี้จะมีการปลูกสีชมพูเข้ม ชมพูอ่อน ม่วง ขาว สลับกันไปตามแนวเนินเขาสูงต่ำสุดลูกหูลูกตา ทำให้เหมือนทั้งภูเขาโดนแต่งแต้มไปด้วยสีต่างๆของดอกไม้
ไม่เพียงแค่นั้น ทุ่งดอกชิบะซากุระ ยังมีภูเขาไฟฟูจิเป็นฉากหลังให้ เพิ่มความเว่อวังอลังการเข้าไปอีก ถ้าคุณชอบดอกไม้และชอบถ่ายรูป คุณอาจจะมาอยู่ที่นี่ได้เป็นวันๆเลยทีเดียว
นอกจากนั้นสวนนี้มียังมี ภูเขาฟูจิลูกน้อยหรือ Mini Shibazakura Fujiและจุดชมวิวมุมสูงบนสะพานไม้ด้วย
หลังจากผมเดินถ่ายรูปมุมต่างๆ จนพอใจ ผมก็เดินออกจากสวนมารอขึ้นรถกลับไปKawaguchiko ณ จุดเดิม ซึ่งผมเพิ่งจะเห็นว่ารถบัสที่มาจอดจะมีทั้งกลับไปโตเกียว และสถานี Kawaguchiko ผมเลยตัดสินใจไปขึ้นรถกลับโตเกียวเลยจะได้ไม่ต้องย้อนกลับไปที่ Kawaguchikoอีก
สำหรับ 1 Day Trip ณ คาวากูจิโกะ เจดีย์ 5 ชั้น และ ทุ่ง Pink Moss ในครั้งนั้นถือว่าเป็นทริปที่ผมประทับใจมากและไม่ผิดหวังเลย เพราะทั้ง 3ที่เป็นจุดที่ผมอยากแนะนำคุณว่าต้องไป Check In ให้ได้จริงๆ แต่ละทีก็มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้การเที่ยวของเราไม่น่าเบื่อเหมือนได้ไปเที่ยวหลายๆแนวในวันเดียว
แต่ข้อเสียก็คืออาจจะต้องเร่งรีบไปนิดทำให้ไม่สามารถใช้เวลาดื่มด่ำซึบซับความสวยงามกับแต่ละสถานที่ได้เพียงพอ
ดังนั้นถ้าคุณมีเวลาอาจจะลองเปลี่ยนเป็นทริป 2 วัน 1 คืนแทน แต่ถ้ามีเวลาน้อย หรือยังมีแพลนอยากไปสถานที่อื่นๆอีก การจัดทริปแบบไปเช้าเย็นกลับก็ยังพอได้นะครับ
อยากให้คุณไปอยู่ตรงนั้นด้วยกัน
รักและคิดถึง
Mgastronome
12 กันยายน 2018
IG : mgastronome_travel
mgastronome_eat
One thought on “1 Day Trip @Kawaguchiko : Mt. Fuji / Chureito Pagoda / Pink Moss”