The ultimate Road trip across UK
London – Scotland – Isle of Skye Part 7
Day 1 Stonehenge – Bath – Bibury – Bourton on the water
วันแรกของการเดินทาง
ถึง…เธอ
จากจดหมายฉบับก่อนๆ ผมเล่าถึงการเตรียมตัวทุกสิ่งอย่างในการขับรถเที่ยวอังกฤษเท่าที่ผมพอจะนึกออกให้คุณอ่านไปหมดแล้ว ในจดหมายฉบับนี้ได้เวลาที่ผมจะนำคุณเที่ยวอังกฤษไปกับผมผ่านตัวอักษรอย่างเป็นทางการ หวังว่าเรื่องราวต่อไปนี้จะเป็นแรงบันดารใจให้คุณลองไปขับรถเที่ยวอังกฤษบ้างในสักวันหนึ่ง
ในวันแรกของการเดินทาง…ผมเดินทางไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิราวๆ 3 ทุ่ม เนื่องจากการเดินทางไปอังกฤษในครั้งนี้ ผมใช้บริการของการบินไทยเที่ยวบินที่ TG910 ซึ่งจะออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 0.55 น หรือตี 1 ของวันรุ่งขึ้น ซึ่งเหตุผลหลักๆที่ผมเลือกการบินไทยแม้ราคาจะค่อนข้างสูง ( 32,000 บาท) ก็เพราะผมไม่ค่อยชอบเที่ยวบินที่จะต้องมีการต่อเครื่องที่แม้จะมีราคาที่ถูกกว่ามาก แต่ต้องยอมเสียเวลาที่มากขึ้นในการรอเปลี่ยนเครื่อง และเวลาบินที่ไม่ค่อยดีนัก กล่าวคือมักจะไปถึงลอนดอนเอาตอนบ่ายๆค่ำๆซึ่งก็หมดวันไปแล้ว
ในขณะเดียวกันเที่ยวบินของการบินไทยจะไปถึงลอนดอนตอน 7 โมงเช้าพอดี และบินตรงต่อเนื่องเกือบ 12 ชั่วโมง ทำให้ผมนอนค่อนข้างเต็มอิ่มเพราะไม่ต้องบินไปครึ่งทางแล้วต้องตื่นมารอเปลี่ยนเครื่อง เพราะฉะนั้นเมื่อไปถึงอังกฤษแล้ว ผมก็สามารถขับรถเที่ยวต่อได้เลย
ถ้าจะบอกว่างานนี้ผมยอมจ่ายราคาตั๋วที่แพงขึ้นเพื่อซื้อเวลาเที่ยวและความสะดวกที่มีมากขึ้นก็คงไม่ผิดนัก
หลังจากผ่านขั้นตอนการ check in ที่สุวรรณภูมิและผ่าน ตม มาแล้ว พวกผมก็เดินตรงไปยังร้าน subway เพื่อใช้สิทธิแลกแซนวิชของ City Bank เพื่อจะเก็บไว้ทานกันตอนเที่ยงของวันพรุ่งนี้ที่อังกฤษ (มื้อเช้าจะได้จากบนเครื่องอยู่แล้ว) และสาเหตุที่ผมต้องทำขนาดนี้ก็เพราะ…จ่ายค่าเครื่องไปหมดแล้วไงคับ 555
เหตุผลสำคัญจริงๆที่งานนี้ ทั้งผมและคณะร่วมทริปต้องพกเสบียงไปจากเมืองไทยไปทานเป็นมื้อเที่ยงกันที่โน่นก็เพราะถ้าดูจากจุดหมายที่เราจะต้องไปในวันแรกเมื่อไปถึงประเทศอังกฤษนั้นมีมากมายหลายแห่งเสียเหลือเกิน ยังแซวกันในหมู่พวกเรากันเองว่าโปรแกรมที่วางไว้ในวันแรกนั้นทำให้พวกเราแทบไม่ต้องกิน ไม่ต้องเข้าห้องน้ำกันเลย
และเหตุผลที่ต้องวางโปรแกรมไว้แน่นขนาดนี้ในวันแรก เพราะพวกเรามีการเพิ่มเมือง Bath เข้าไปในโปรแกรมก่อนเดินทางเพียงไม่กี่วันเนื่องจากได้รับการแนะนำมาจากนักเรียนเก่าอังกฤษที่จบมาจากเมืองนี้ว่าพวกเราต้องไปให้ได้ ซึ่งหลังจากที่ผมไปเยือนเมืองนี้กลับมาแล้วมาแล้วขอบอกเลยว่า…ถ้าตอนนั้นผมตัดเมืองนี้ทิ้งเสียจากโปรแกรมจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตแน่ๆ
หลังจากแลกแซนวิชแล้ว ผมก็ใช้สิทธิบัตรเครดิตไปนั่ง Lounge ของ TG สำหรับสมาชิกบัตรเครดิตกันต่อ งานนี้เรียกว่าใช้ทุกสิทธิที่มีจนถึงเวลาขึ้นประตูเครื่องบินกันเลยทีเดียว
เที่ยวบินนี้ออกตามเวลาที่แจ้งไว้ซึ่งเมื่อเครื่องขึ้นจนได้ระดับแล้ว ก็จะมีการเสริฟอาหารมื้อแรกซึ่งเป็นมื้อใหญ่เลย ซึ่งงานนี้พวกผมทั้งทีมต่างขอสละสิทธิ
จนถึงบัดนี้ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลในการเสริฟอาหารมื้อใหญ่จัดเต็มกันตอนตี 1 ตี 2 ของหลายๆสายการบินเท่าไหร่ และเท่าที่สังเกตผู้โดยสารส่วนใหญ่ก็จะไม่รับอาหารมื้อนี้มาทานด้วย เพราะนาทีนั้นทุกคนก็ง่วงกันหมดแล้ว เรียกว่าเดินสะโหลสะเหลพร้อมนอนตั้งแต่ขึ้นเครื่องกันมาแล้ว จริงๆแค่แจกแซนวิชเล็กๆเพราะเก็บไว้ทานได้ (เหมือนเที่ยวบินญี่ปุ่น) ส่วนงบที่เหลือก็เอาไปโปะกับมื้อเช้าให้มันอลังขึ้นจะดีกว่า
ดังนั้นพอขึ้นเครื่องปุ๊บ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เข้าสู่โหมด switch off เลย มารู้สึกตัวอีกทีก็บินมาครึ่งทางแล้ว
ก่อนเครื่องจะลงประมาณ 2 ชั่วโมง ก็จะมีการเสริฟมื้อเช้าให้เรารับประทานกัน พวกเราเลยได้ใช้โอกาสนี้กินตุนแรงกันเอาไว้
วันนั้นเที่ยวบินของผมไปถึงลอนดอนเร็วกว่ากำหนด คือไปถึงเวลา 6.30 น. ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะเท่าที่อ่านรีวิวต่างๆ พบว่าพิธีการตรวจคนเข้าเมืองที่ฮีทโทรล ใช้เวลานานมาก มีการถามคำถามละเอียดยิบ เจ้าหน้าที่เลยใช้เวลากับแต่ละคนค่อนข้างนาน ขนาดวันนั้นผมไปถึงตั้งแต่เช้าตรู่ เที่ยวบินมาลงไม่เยอะมากแต่แถวรอเข้าเมืองก็ยาวแบบวนแล้ววนอีก
เพราะฉะนั้นผมขอแนะนำว่าให้คุณพกแผนการเดินทาง ใบจองโรงแรมต่างๆติดตัวไว้ด้วย เผื่อต้องโดนซักแบบละเอียดอีกครั้ง อย่าชะล่าใจว่ามี VISA ในมือแล้วจะผ่านเข้าประเทศเค้าได้ง่ายๆนะครับ เพราะคนที่คิดแบบนี้ต้องน้ำตาตกบินกลับประเทศตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเที่ยวมานักต่อนักแล้ว
สำหรับกลุ่มของพวกผม เราเดินเข้าไปพร้อมกันทั้งกลุ่มได้เลย โดยผมแจ้งเจ้าหน้าที่ที่มาดูแลเรื่องแถวว่ามาด้วยกัน ซึ่งคราวนี้พวกผมเจอคำถามไม่เยอะมาก แต่เวลา stamp เข้าเมืองก็ทำให้ทีละคนอยู่ดี เรียกว่าถึงจะให้เข้ามาเป็นกลุ่มแต่ก็ให้ผ่านไปทีละคน บางคนอาจจะโดนคำถามสั้นๆเพิ่มบ้างแต่สุดท้ายก็ผ่านออกมากันได้ทุกคน
เย้!!! จะได้เริ่มเที่ยวกันแล้ว
เมื่อออกจากมา ตม แล้วเราก็เดินไปรับกระเป๋า และอย่างที่บอกครับว่าส่วนของ ตม นั้นจะใช้เวลาค่อนข้างนาน ดังนั้นเมื่อเรามาถึงสายพานกระเป๋าทุกใบของเที่ยวบินนี้ก็ถูกยกลงมาวางกองรวมกันไว้ข้างล่างแล้ว
อันนี้ไม่ใช่ service เสริมของสนามบินนี้นะครับ แต่เพราะ Heatrow เป็นสนามบินที่มีเที่ยวบินคับคั่งมาก เรียกว่าบินมาลงกันตลอดเวลาเพราะฉะนั้นสายพานกระเป๋าต้อง stand by ไว้สำหรับเที่ยวบินที่กำลังจะมา กระเป๋าของเที่ยวบินก่อนหน้าจึงถูกยกลงมากองรวมกันไว้ด้วยประการละชะนี้ ไม่งั้นคงจวุ่นวายน่าดู
เมื่อรับกระเป๋าและ ผ่านด่านศุลการกรแล้ว ผมก็เดินออกไปยังโถงของ Terminal 2 จากนั้นผมก็ต้องไปขึ้น Shuttle Bus เพื่อไปรับรถเช่าที่จองไว้กับ Euro Car ซึ่งส่วนของวิธีการไปรับรถเช่านั้น ผมได้เขียนจดหมายเล่าให้คุณอ่านค่อนข้างละเอียดไว้แล้วที่ ขับรถเที่ยวอังกฤษ สก็อตแลนด์ Part 6 : การเช่ารถ รับรถและคืนรถ ลองกลับไปอ่านได้นะครับ
ถ้าคุณยังจำเรื่องราวในจดหมายฉบับนั้นได้ คุณคงทราบแล้วว่าพวกผมโชคดีมากๆที่ได้อัพเกรดรถ (เพราะซื้อประกันเพิ่ม) พวกผมเลยได้พาหนะคู่ใจตลอดทั้งทริปนี้เป็น Volvo V90 ซึ่งเป็นรถที่มีสมรรถนะดีมากๆ ที่นั่งกว้าง ที่เก็บกระเป๋าพื้นที่เยอะ Option เสริมเพียบ ที่สำคัญเลยคือเป็นรถที่ใช้น้ำมันดีเซลด้วยทำให้ค่าน้ำมันในทริปนี้ถูกสุดๆ ไปเเลย
สำหรับ Volvo V90 นี้ซื้อขายกันอยู่ที่เมืองไทยที่ 4 ล้านกว่าบาท จ่ายเงิน 2 หมื่นกว่าสำหรับทั้งทริปได้มีโอกาสขับรถราคานี้ถือว่าคุ้มมากๆเลย
สำหรับจุดหมายของผมในวันแรกนี้ จากจุดรับรถ ผมจะไปดู Stonehenge ซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง จากนั้นก็จะไปต่อกันที่เมือง Bath ต่อด้วย หมู่บ้านน่ารักๆ ในกลุ่มที่เรียกว่า Cotswold ที่ประกอบไปด้วย Bibury , Bourton on the water ซึ่งพวกผมจะพักค้างคืนกันที่เมืองนี้ก่อนจะไปต่อที่ Startford Upon Avon กันในวันรุ่งขึ้น รวมระยะทางทั้งหมดในวันนี้ราว 161 ไมล์
การขับรถในอังกฤษจะต้องเข้มงวดเรื่องการใช้ความเร็ว และจะเจอกับวงเวียนเยอะมาก เนื่องจากอังกฤษเอาวงเวียนมาใช้แทนการใช้ไฟเขียวไฟแดง ซึ่งแรกๆพอเจอวงเวียนหลายคนอาจจะงงๆ ว่าต้องทำยังไง เข้าทางไหน
โดยหลักปฎิบัติของการเข้าวงเวียนคือทุกวงเวียน เราจะต้องให้รถที่มาทางขวามือไปก่อน ดังนั้นถ้ายังมีรถทางขวามือวิ่งมาอยู่ เราห้ามเข้าไปในวงเวียนเด็ดขาด ซึ่งผมได้เขียนเล่าวิธีการขับรถในอังกฤษไว้โดยละเอียดแล้วที่ ขับรถเที่ยวอังกฤษ สก็อตแลนด์ Part 3 : การขับรถในอังกฤษ , Driving in the UK
จากสนามบิน Heathrow ผมใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งก็ไปถึง Stonehenge คับ ซึ่งตอนแรกก็งงๆ เหมือนกันเพราะ google map ได้นำทางพวกเราไปอีกทาง เมื่อไปถึงแล้วถึงมารู้ว่าเป็นการขับอ้อมไปทางด้านหลัง ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะทางด้านหน้าที่จะเข้า Stonehenge รถค่อนข้างติด เนื่องจากรถส่วนใหญ่จะขับช้าๆ เพื่อชะลอดู Stonehenge ไปด้วย ทำให้การเคลื่อนรถเป็นไปอย่างช้าๆ รถเลยติดเป็นขบวนยาวเลย

ส่วนทางที่พวกผมมาทางด้านหลังนั้นค่อนข้างโล่งและมาถึงจุดจอดรถของ Stonehenge โดยใช้เวลาไม่นานเลย
หลังจากจอดรถที่ลานจอดรถแล้ว เราก็เดินต่อไปยังจุดซื้อตั๋วเพื่อเข้าชม Stonehenge ซึ่งจุดที่เป็นกองหิน Stonehenge นั้นอยู่ลึกเข้าไปอีกไกลมาก โดยทางศูนย์จะมีรถบัสบริการรับส่งคนที่จะเข้าไปบริเวณ Stonehenge แต่ถ้าคุณจะเดินไปก็ได้นะครับ แต่ผมอยากแนะนำว่าอย่าเดินเลย เพราะมันไกลมากจริงๆ
ในส่วนของบัตรนั้น เราสามารถซื้อบัตรมาล่วงหน้าได้ที่ Stonehenge booking
ในกรณีที่คุณจองบัตรมาล่วงหน้า คุณจะสามารถไปต่อแถว Pre-Booking ที่แยกไว้ต่างหากทำให้คุณได้บัตรเร็วขึ้น เพราะแถวของนักท่องเที่ยวที่มาซื้อบัตรแบบ Walk-in นั้นค่อนข้างยาวทีเดียว
หลังได้บัตรมาแล้ว พวกผมก็เดินไปยังจุดขึ้นรถที่อยู่หลังร้านขายของที่ระลึก จากนั้นรถก็จะนำเราไปจอดตรงจุดจอดก่อนถึงกองหิน Stonehenge ซึ่งต้องเดินเข้าไปอีกไม่ไกล เราก็จะได้เห็นสิ่งก่อสร้างที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอยู่ข้างหน้าเรานี่เอง
Stonehenge
เป็นอนุสรณ์สถานยุคก่อนประวัติศาสตร์ กลางทุ่งราบกว้างใหญ่บนที่ราบซอลส์บูรี่ (Salisbury Plain) ในบริเวณตอนใต้ของเกาะอังกฤษ ตัวอนุสรณ์สถานประกอบด้วยแท่งหินขนาดยักษ์ 112 ก้อน ตั้งเรียงกันเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง แท่งหินบางอันตั้งขึ้น บางอันวางนอนลง และบางอันก็ถูกวางซ้อนกัน
นักโบราณคดีเชื่อว่ากลุ่มกองหินนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 3000–2000 ปีก่อนคริสตกาล นักวิทยาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ต่างสงสัยว่า คนในสมัยก่อนสามารถยกแท่งหินที่มีน้ำหนักกว่า 30 ตัน ขึ้นไปวางเรียงกันได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ปราศจากเครื่องทุ่นแรงอย่างที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน และบริเวณที่ราบดังกล่าวไม่มีก้อนหินขนาดมหึมานี้ ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่าผู้สร้างต้องทำการชักลากแท่งหินยักษ์ทั้งหมดมาจากที่อื่น ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจาก “ทุ่งมาร์ลโบโร” ที่อยู่ไกลออกไปประมาณ 40 กิโลเมตร
สโตนเฮนจ์และบริเวณโดยรอบได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1986 และยังถูกจัดให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางอีกด้วย
Credit ข้อมูลจากWikipedia
และด้วยความที่ Stonehenge ได้รับการยอมรับทั้งในฐานะมรดกโลกและสิ่งมหัศจรรย์ของโลกทำให้นักท่องเที่ยวนับล้านๆคนต่างดั้นดันมาเยือนถึงที่นี่
แต่……(ข้อความนับจากนี้โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน) คนที่เคยมาแล้วมักจะแนะนำว่า… “ไม่ต้องไปหรอก” ฮา
กลุ่มผมเองก่อนจะเดินทางมาประเทศอังกฤษก็ได้สอบถามหลายๆคนที่เคยมาแล้ว และมักจะได้รับคำแนะนำไปในทางเดียวกันว่า…ไม่ต้องไปหรอก แต่ทว่ากับดักที่แข็งแรงทางการตลาดของคำว่าสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ทำให้พวกผมอดรู้สึกไม่ได้ว่าไหนๆก็อุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงอังกฤษแล้วจะไม่ไปดูหน่อยเหรอ? ใจคอจะขับผ่านไปเฉยๆเหรอ? พวกเราจึงตัดสินใจมาพิสูจน์ให้เห็นกับตา พอเห็นแล้วก็จะได้ไปแนะนำคนอื่นๆที่มาถามต่อไปได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า…ไม่ต้องมาหรอก55555
จริงๆแล้วกองหินนี้จะว่าสวยก็ไม่เชิงสวย จะว่ายากก็ไม่รู้สึกขนาดนั้น แม้นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีจะต่างบอกว่าในยุคสมัยนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเคลื่อนย้ายสิ่งของที่ทั้งใหญ่และหนักขนาดนี้ แต่ในฐานะของคนที่มาเห็นด้วยตาตัวเองต้องสารภาพว่า Story telling นี้ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้เรารู้ปลาบปลื้มไปกับกองหินที่เห็นอยู่ตรงหน้าเท่าไหร่
เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ Stonehenge นี้ไม่ได้ดูยิ่งใหญ่อย่างที่คาดหวังไว้ก็อาจจะเพราะส่วนที่เราเห็นนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่หลงเหลือมาถึงยุคนี้เท่านั้น ถ้าหาก Stonehenge มีทุกอย่างครบเหมือนเมื่อสมัยแรกสร้างก็อาจจะดูเว่อวังอลังการณ์กว่านี้ก็ได้
ดังนั้นเมื่อสิ่งที่เห็นอยู่ข้างหน้ามีเพียงเท่านี้ จากประสบการณ์ที่เคยไปเห็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่อื่นๆมาแล้ว อาทิ ทัชมาฮาล กำแพงเมืองจีน โคลีเซี่ยม หรือนครวัด ความยิ่งใหญ่ของกองหินที่เห็นอยู่ตรงหน้าเลยค่อนข้างจะห่างกับสิ่งที่เราเคยเห็นมาแล้วมากมายทีเดียวแม้จะสร้างคนละยุคคนละสมัยก็ตาม
ดังนั้นการจะมาเยือนที่นี่หรือไม่ ก็คงอยู่ที่วิจารณญาณของคุณเองนะครับ
นอกจากหิน Stonehenge แล้ว ที่นี่ยังมีพิพิธภัณฑ์และส่วนอื่นๆให้ชมอีกมาก แต่หลังจากได้เดินดูสิ่งต่างๆแล้วพวกเราก็ตัดสินใจใช้เวลาที่นี่ไม่นานนักเพื่อไปยังจุดหมายต่อไป ซึ่งจริงๆแล้วเป็นเพียงโปรแกรมเสริมที่เพิ่มเข้ามาในตอนท้ายแต่กลับกลายที่จุดหมายที่พวกเราทุกคนรู้สึกประทับใจมาก นั่นก็คือ เมือง Bath
จาก Stonehenge ใช้เวลาประมาณ1 ชั่วโมงหรือ 34 ไมล์ เพื่อเดินทางไปเมือง Bath ซี่งที่เมืองแห่งนี้อาจจะหาที่จอดรถค่อนข้างยาก แต่สามารถจอดได้ ณ จุดริมถนนที่มีป้ายอนุญาต ก็ต้องวนๆรถดูนะคับ
ในหลายจุดจอดจะมีตู้ให้เราหยอดเหรียญเพื่อนำเอาบัตรมาวางไว้หน้ารถ ตามที่ผมเคยเขียนมาเล่าให้คุณอ่านไว้ที่ตอน ขับรถเที่ยวอังกฤษ สก็อตแลนด์ Part 3 : การขับรถในอังกฤษ , Driving in the UK

แต่จุดที่พวกผมได้จอดในวันนั้นกลับไม่มีตู้หยอดเหรียญใดๆ นอกจากป้ายที่บอกว่าจอดได้ 1 ชั่วโมง จนถึงวันนี้พวกผมก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทางการจะรู้ได้ยังไงว่าเราจอดเกินหรือไม่เกิน 1 ชั่วโมง แต่ก็เดากันเอาเองว่าถ้ามีป้ายเขียนไว้แบบนี้ก็คาดได้ว่าเขาคงจะมีวิธีการที่จะรู้ได้แน่ เพราะฉะนั้นขอเตือนว่าอย่าเสี่ยงจอดเกินดีกว่า
อีกอย่างที่ผมอยากเตือนคุณก็คือคือเมื่อจอดรถได้แล้วอย่าลืมถ่ายรูปหรือจดจำจุดจอดรถของเราไว้ให้ดี อาจมองหา landmark สำคัญเอาไว้ด้วยเนื่องจากพอเราเดินเที่ยวเข้าไปในเมืองลึกๆแล้ว ตอนกลับอาจจะหลงทางและหาที่จอดรถไม่เจอ ซึ่งพวกผมเจอประสบการณ์นี้มาแล้ว พอจะค้นหาใน Google map ก็ไม่รู้จะค้นหาคำว่าอะไรเพราะไม่ได้จดจำอะไรไว้เลย ต้องวิ่งหากันอยู่นานทีเดียวกว่าจะเจอ ยิ่งเมื่อมีเวลา 1 ชั่วโมงเป็นตัวกำหนดเส้นตายด้วยแล้ว นาทีท้ายๆ พวกผมยิ่งวิ่งกันตับแลบ เรียกว่ากลัวโดนปรับยิ่งกว่ากลัวอะไรทั้งหมด 555
ถึงตอนนี้พวกผมยังมาแซวกันเองว่าค่าปรับมันน่าจะน้อยกว่าค่ารักษาพยาบาลถ้าเกิดพวกเราเป็นลมเป็นแล้งหกคะเมนตีลังกากันอีกนะ เป็นอีกประสบการณ์ที่ผมยังจำไม่ลืมในทริปอังกฤษครั้งนี้
Bath
Bath เป็นเมืองที่อยู่ห่างจากลอนดอนไปทางตะวันตก 156 กิโลเมตร โดยได้รับพระราชทานฐานะเป็น “นคร” โดยสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1ในปี ค.ศ. 1590 และได้รับฐานะเป็นเมืองมรดกโลกในปี ค.ศ. 1987
ตัวเมืองบาธตั้งอยู่บนเนินหลายลูกในหุบเขาของแม่น้ำเอวอนในบริเวณที่มีน้ำพุร้อนธรรมชาติที่เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของโรมัน ผู้สร้างโรงอาบน้ำ Roman Bathรวมทั้งโบสถ์และตั้งชื่อเมืองว่า “Aquae Sulis” ซึ่งสาเหตุนี้เองทำให้ Bath กลายเป็นเมืองน้ำแร่ที่เป็นที่นิยมกันมาก
ถ้าคุณมีโอกาสไปเยือนเมืองนี้ สถานที่ท่องเที่ยวที่คุณไม่ควรพลาดเลยได้แก่
-
Roman Bath
แหล่งน้ำแร่ในเมือง Bath ได้ถูกค้นพบตั้งแต่สมัยชาวโรมันมีอิทธิพลเหนือเกาะอังกฤษกว่าพันปีมาแล้ว ที่นี่เองชาวโรมันได้นำวัฒนธรรมการอาบน้ำแร่มาใช้โดยสร้างโรงอาบน้ำขนาดใหญ่ที่ยังได้รับการอนุรักษ์และดูแลเป็นอย่างดีจนถึงปัจจุบัน ภายในจะแบ่งออกเป็น 4โซนด้วยกัน ได้แก่โซน Sacred Spring, Roman Temple, Roman Bath House และ Museum
ค่าเข้าชมโรมันบาธมีหลายรูปแบบแต่ตั๋วปกติจะอยู่ที่ 16.5 ปอนด์ สิ่งที่น่าสนใจภายใน Roman Bath ได้แก่แท่นบูชาที่ตั้งอยู่บริเวณน้ำพุร้อนเพื่อเป็นที่สักการะบูชาเทพเจ้า Sulis Minerva ของชาวโรมัน รูปปั้น โบราณวัตถุ ภาพแกะสลัก เหรียญและเงินตรา รูปปั้นศีรษะทองสัมฤทธิ์ของเทพเจ้า Sulis Minerva ซึ่งค้นพบในปี ค.ศ. 1727 รวมถึงสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ นอกจากนั้นยังมีห้องสปา ซึ่งมีอายุมากกว่า 1,000 ปี ห้อง Heated Rooms and Plunge Pools เป็นบ่อน้ำเย็นทรงกลม และห้องซาวน่าสมัยโบราณ
แต่จุดที่นักท่องเที่ยวนิยมไปถ่ายรูปมากที่สุดคือ Great Bath ซึ่งเป็นอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ ที่มีความยาวประมาณ 40 เมตร ลึก 1.6 เมตร เพื่อใช้สำหรับเป็นสถานที่พักผ่อนและจุดนัดรวมตัวกัน ถือเป็นจุด Check in ที่ใครมาเยือนก็ต้องมีรูปมุมนี้เก็บไว้เป็นที่ระลึก
หากคุณสนใจไปเยือนก็สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.romanbaths.co.uk
-
Bath Abbey
มหาวิหารเมืองบาธ Abbey Church of Saint Peter and Saint Paul หรือที่รู้จักกันในนามว่า “Bath Abbey” ตั้งอยู่ติดกันกับ Roman Bath เลย โดยมหาวิหารแห่งนี้เป็นโบสถ์นิกายแองกลิกันที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายร้อยปี เริ่มสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 7 และได้รับการบูรณะซ่อมแซมต่อเติมมาอีกหลายครั้ง Bath Abbey ถือว่าเป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิกที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง ในเวลาต่อมาโบสถ์แห่งนี้ได้ถูกยุบรวมกับโบสถ์ Wells ในปี ค.ศ. 1538 โดยยังคงใช้ชื่อเดิม
นอกจากสิ่งที่น่าสนใจภายในโถงใหญ่ของโปสถ์ ด้านล่างยังมีพิพิธภัณฑ์ The Bath Abbey Heritage Vaults Museum อยู่ชั้นใต้ดิน แต่ไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดคือออร์แกนขนาดใหญ่ที่ถือเป็นรูปแบบของโบสถ์สมัยโบราณที่หาชมได้ยาก นอกจากนั้นยังมีบริการพาขึ้นไปชม Tower ด้านบนเพื่อไปดูกลไกของนาฬิกาโบราณโดยถ้าใครต้องการใช้บริการในส่วนนี้จะต้องจ่ายค่าพาทัวร์ 6 ปอนด์นะครับ
-
Pulteney Bridge
เป็นสะพานข้ามแม่น้ำ Avon ในเมือง ออกแบบโดย Robert Adam และได้ทำการก่อสร้างจนแล้วเสร็จในปี 1774 จนปัจจุบันสะพานแห่งนี้ได้กลายเป็นแลนด์มาร์คสำคัญแห่งหนึ่งของเมือง Bath ในอดีตลักษณะพิเศษของสะพานแห่งนี้ คือ ทั้งสองด้านของสะพานจะเต็มไปด้วยร้านค้าต่างๆ มากมาย ในสไตล์ปัลลาดี จุดที่ทำให้สะพานแห่งนี้มีความสวยแปลกตาต่างไปจากสะพานอื่นๆ คือฝายกั้นน้ำ ซึ่งเคยใช้เป็นฉากฆ่าตัวตายของ Javert ตัวละครหลักในภาพยนตร์เรื่อง Les Misérables โดยฝายกั้นน้ำนี้ได้สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1968 –ค.ศ. 1972 เป็นส่วนหนึ่งของโครงการป้องกันภัยน้ำท่วม ซึ่งต่อมาก็ได้มีการบูรณะเพิ่มเติมอีกครั้งในปี ค.ศ. 1975
-
The Circus
The Circus แต่เดิมมีชื่อว่า “King’s Circus” ต่อมาได้เปลี่ยนเป็น “The Circus” โดยชื่อนี้มาจากภาษาละติน หมายถึง วงแหวนซึ่งเป็นรูปไข่หรือวงกลม เป็นวงเวียนเก่าแก่ขนาดใหญ่ ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของเมืองบาธโดยวงเวียนแห่งนี้จะประกอบไปด้วยตึกแถวขนาดใหญ่ซึ่งใช้เป็นที่พักอาศัย มีลักษณะเป็นอาคาร 3 ชั้น สร้างล้อมรอบเป็นรูปวงกลม โดยมีสวนเล็กๆที่มีต้นไม้ใหญ่อยู่ตรงกลาง ตึกนี้ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงชื่อ John Wood โดยสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1768 และได้รับการยกย่องว่าเป็นตัวอย่างที่สวยงามของสถาปัตยกรรมแบบจอร์เจีย
จุดน่าสนใจของ The circus นอกจากรูปทรงโค้งของตึกที่สวยงามแล้วยังมีส่วนที่อยู่ระหว่างเสาและหลังคาที่ถูกตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมแบบDoric โดยเป็นเสาแบบโรมัน มีลักษณะเรียบง่ายและมั่นคงแข็งแรง และมีสัญลักษณ์ภาพวาดถึง 525 ภาพอีกด้วย
-
Royal Crescent Museum
เป็นอาคารแห่งแรกของ The Royal Crescent ซึ่งเป็นที่พักอาศัยในย่านที่เคยหรูหราที่สุดในเมือง Bath โดยสถานที่แห่งนี้มีความสำคัญทั้งในแง่สถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ของอังกฤษ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ The Bath Preservation Trust และยังเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ ที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตระหว่างเจ้านายและคนใช้ของชาวจอร์เจียในยุคอดีต
-
Jane Austen Centre
ใครเป็นแฟนนวนิยายอังกฤษ ไม่ควรพลาดมาเยี่ยมพิพิธภัณฑ์ของนักเขียนหญิงที่โด่งดังที่สุดคนหนึ่งของอังกฤษและของโลก นั่นคือ Jane Austen โดยที่นี่ได้จัดเป็นพิพิธภัณฑ์ย่อมๆ ที่เล่าถึงเรื่องราวต่างๆในชีวิตของJane Austen ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้มีอิทธิพลต่อตัวละครและเนื้อหาในนวนิยายของเธออย่างมาก
-
เดินเที่ยวให้ทั่วเมือง
ความรู้สึกของผมเมื่อได้มาเยือนเมืองนี้คือ Bath เป็นเมืองที่สวยมาก เดินไปมุมไหนก็สวย พูดจากความรู้สึกในใจจริงๆคือรู้สึกหลงรักเมืองนี้เข้าเต็มเปา เพราะพื้นฐานเดิมผมเป็นคนที่ชอบเมืองที่มีตึกรามบ้านช่องและสถาปัตยกรรมสวยๆอยู่แล้ว และเมืองนี้ถือว่ามีทุกอย่างที่ผมชอบ ถึงจะเป็นเมืองเก่า แต่ก็ไม่เก่าแบบโบราณจนล้าสมัย มีย่านดื่มกิน มีย่าน shopping มีตึกสวยๆให้เดินดูได้เรื่อยๆ แบบไม่เบื่อเลย เพราะฉะนั้นเอาแค่มาเดินดูนั้น ดูนี่ไปเรื่อยๆในเมืองนี้ก็ Happy สุดๆแล้ว
จากแหล่งท่องเที่ยวทั้งหมดที่ผมบอกไปข้างต้น Bath ยังเป็นเมืองที่มีอะไรน่าสนใจอีกมาก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายสำหรับพวกเราอย่างมากที่มีเวลาน้อยไป ให้ความสำคัญกับเมืองนี้น้อยไป เราจึงมีเวลาเพียงสั้นๆในการเที่ยวในเมืองนี้ซึ่งจริงๆแล้วผมแนะนำคุณว่าควรจะมาเที่ยวที่นี่สัก 1 วัน 1 คืนถึงจะดี
หลังจากปาดน้ำตาอำลาเมืองบาธแล้ว (ว่าไปนั้น555) ผมก็เดินทางกันไปต่อที่ Bibury หมู่บ้านเล็กๆ ที่สวยราวภาพวาด ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองบาธ 44 ไมล์หรือขับรถไปประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที
Bibury
Bibury ถือเป็นเมืองในกลุ่ม The Cotswold หรือก็คือพื้นที่บริเวณภาคกลางตอนล่างของประเทศอังกฤษที่ประกอบไปด้วยหมู่บ้านน้อยใหญ่กระจายตัวทั่วไปอยู่ในแถบนี้ หมู่บ้านเหล่านี้จะถูกสร้างโดยหินสีน้ำผึ้ง หรือเรียกอีกอย่างว่า Cotswold stone ซึ่งได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความสวยงามที่ยังคงถูกรักษาเอาไว้ได้อย่างดี นอกจากหมู่บ้านในกลุ่ม Cotswold ส่วนใหญ่จะมีความเป็นอังกฤษแท้คือจะมีการจัดสวนสวยสไตล์อังกฤษไว้หน้าบ้าน มักจะมีลำธารน้ำใสไหลผ่าน และจะใช้ชีวิตที่เน้นความเรียบง่าย ความให้หมู่ยบ้านเหล่านี้มีเสน่ห์ในตนเองจนใครๆก็อยากไปเยือน ด้วยชื่อเสียงเหล่านี้ทำให้ในปี 1966 พื้นที่ที่เรียกว่า Cotswold ได้ถูกประกาศให้เป็นเขตอนุรักษ์และเป็นสมบัติของประเทศอังกฤษ
สำหรับหมู่บ้าน Bibury ได้รับการยกย่องจากวิลเลียม มอร์ริส ดีไซเนอร์นักเขียน และเป็นผู้ที่มีอิทธิพลด้านสังคมของอังกฤษ ว่าเป็น The most beautiful village in England นอกจากนั้นยังได้รับการยกย่องเป็นหมู่บ้านที่ถ่ายรูปสวยที่สุดจากสถานีโทรทัศน์ FOX อีกด้วย
ตอนที่พวกเราขับรถมาถึง Bibury ฟ้าก็เริ่มสลัวๆลง จริงๆแล้วเวลานี้แม้จะเย็นมากแล้วแต่ก็ยังไม่ถึงเวลาตะวันจะลับขอบฟ้าในประเทศอังกฤษ เพราะอย่างที่เคยบอกไปในจดหมายฉบับที่เขียนถึง Part 2 : ข้อควรรู้ก่อนขับรถเที่ยวอังกฤษ ว่ากว่าตะวันจะตกดินในช่วงฤดูร้อนส่วนใหญ่ก็มักจะ 2-3 ทุ่มเข้าไปแล้ว แต่เหตุผลที่ตอนนี้ฟ้าเริ่มสลัวลงเพราะมีกลุ่มเมฆฝนขนาดใหญ่กำลังครอบคลุมไปทั่วพื้นที่ ตอนนั้นเรียกได้ว่าเป็นเวลาที่ฝนจวนเจียนจะเทลงมาแล้ว
ตอนแรกผมค่อนข้างกังวลว่าถ้าฟ้ามืด ฝนตกคงจะถ่ายรูปไม่สวยแน่ๆ แต่กลายเป็นว่าพวกเรากลับโชคดีมากๆ เพราะกลายเป็นว่า Bibury ณ เวลานั้นไม่มีนักท่องเที่ยวเลย ทำให้เราได้ภาพ Bibury ที่มีแต่ธรรมชาติล้วนๆ ภาพเลยออกมาสวยมากๆ
และผมต้องบอกกับคุณว่า…ภาพของ Bibury จากที่จินตนาการไว้จากการได้อ่านได้เห็นในรีวิวต่างๆว่าเมืองนี้สวยเท่าไหร่ พอไปเห็นของจริง กลับรู้สึกว่าสวยมากๆ มากกว่าที่คิดไว้เยอะเลย สมกับสมญานามต่างๆที่ได้รับมาจริงๆ โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ฝนกำลังจะตกแบบนี้ ไม่รู้ทำไม ผมรู้สึกว่าสีสันความสดของต้นไม้และความสวยของหมู่บ้านนี้มันเพิ่มขึ้นมากเป็นพิเศษ
ถ้ามีโอกาสมาเยือนอังกฤษแล้วไม่อยากให้คุณพลาดหมู่บ้านแห่งนี้เลยครับ
จาก Bibury ผมจะไปยังจุดหมายสุดท้ายของวันนี้ ( เฮ้อ ยังกะแรลลี่เก็บแต้ม 55 ) ถึงตรงนี้ขออนุญาตเตือนคุณไว้ก่อนว่าโปรแกรมของพวกผมแบบวันนี้ไม่ต้องเลียนแบบนะครับ 5555ถ้าคุณพอจะมีเวลา ควรจะให้เวลาสัก 2 วัน น่าจะเหมาะสมที่สุด
สำหรับจุดหมายสุดท้ายของผมในวันนี้ ไม่ได้เป็นเมืองที่ผมจะเที่ยวกันต่อวันนี้เลย แต่เป็นเมืองที่ผมจะไปพักค้างคืนกันแล้วค่อยเที่ยวต่อที่เมืองนี้ในวันรุ่งขึ้นนั่นก็คือเมือง Bourton on the water ซึ่งอยู่ในกลุ่ม Cotswold เช่นกันและอยู่ห่างจากเมือง Bibury แค่ 11 ไมล์ ใช้เวลาขับรถแค่ 20 นาทีเท่านั้น
Bourton on the water
Bourton on the water หรือบางคนเรียกว่า “เวนิสแห่ง Cotswold” เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีพื้นที่เพียง 40 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรราว 3,000 กว่าคนเท่านั้น เอกลักษณ์ที่สะดุดตาของที่นี่คือสะพานหิน 5 สะพานที่เชื่อมสองฝั่งแม่น้ำเล็กๆ ทำให้หมู่บ้านนี้เหมือนมีแม่น้ำเล็กๆที่ใสเว่อวังไหลผ่านกลางหมู่บ้าน โดยหินสะพานที่เก่าแก่ที่สุดมีชื่อ The Mill Bridge สร้างในปี ค.ศ.1654
สำหรับเมืองนี้ผมเลือกพักกันที่โรงแรม ซึ่งผมได้เขียนมาเล่าให้คุณอ่านไว้ค่อนข้างละเอียดแล้วทื่ Duke of Wellington Hotel , Bourton on the water , UK ซึ่งหากคุณตั้งใจจะมาพักค้างคืนที่เมืองนี้ ผมขอบอกว่าเป็นโรงแรมที่อยากแนะนำมากจริงๆ
จุดเด่นของโรงแรมนี้คือทำเลที่ดีมากๆ เรียกว่าอยู่ใจกลางแหล่งท่องเที่ยว มีที่จอดรถ เตียงนุ่นมาก แถมมีบาร์อยู่ใต้โรงแรมเพราะฉะนั้นถ้าอยากเมาก็ได้เต็มที่แค่พาตัวเองขึ้นบันไดไปนอนให้ได้ก็พอ ที่สำคัญ สิ่งที่เราไม่คาดหวังเลยคือ อาหารเช้า. เป็นอาหารเช้าที่แสนธรรมดา แต่เป็น English Breakfast ที่อร่อยเว่อวังมากที่สุดในทริป ต้องไปลองสักครั้งหนึ่งนะครับ
ในวันนั้นเรามาถึงที่นี่ค่อนข้างดึกแล้ว เลยรีบ check in แล้วออกไปหาอะไรทาน (จริงๆที่โรงแรมก็มีนะครับ) ซึ่งพวกผมเลือกร้าน Rose Tree Restaurant ซึ่งเป็นร้านอาหารแนะนำอันดับ 1 ของเมืองนี้จาก tripvisor ร้านอาหารร้านนี้ตั้งอยู่ริมน้ำและไม่ไกลจากโรงแรม น่าจะ 200เมตรเท่านั้น

ไม่รู้เพราะพวกผมหิวหรือเหนื่อย แต่มื้อนี้เป็นมื้อที่ได้ชิมอาหารแบบอังกฤษที่อร่อยมากๆ และที่สำคัญที่พวกผมประทับใจเป็นพิเศษเลยคือพนักงานของร้านนี้บริการดี มี service mind มากๆ ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา สมกับที่เป็นร้านอันดับ 1 ของ Tripvisor เลยคับ
ผมเขียนเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับร้านนี้ไว้แล้ว ลองไปอ่านกันได้ครับที่ The Rose Tree Restaurant, Bourton-on-the-water, UK
บรรยากาศก็ดี อาหารก็อร่อย

พอทานอาหารอิ่มท้องกันแล้ว เนื่องจากฟ้ายังไม่มืดมาก ( ขนาด 3 ทุ่มกว่าแล้ว) พวกผมเลยไปเดินชมวิวย่อยอาหารกันก่อน พร้อมกับซ้อมเก็บภาพเป็นที่ระลึก ก่อนจะมาเดินสำรวจจริงเช้าวันรุ่งขึ้น
นอกจากเดินชมวิวแล้ว อย่างที่บอกไว้ครับว่าโรงแรมของเราอยู่ ณ จุดใจกลางเมืองเลย เราก็เลยไปเดินสำรวจร้าน supermarket ของเมืองนี้เพื่อหาอะไรทานเล่นกันนิดหน่อย ก่อนจะเดินกลับโรงแรมไปพักผ่อนกัน
วันแรกในประเทศอังกฤษของผมถือว่าเริ่มต้นได้อย่างน่าประทับใจมาก การเดินทางราบรื่น ไม่มีปัญหาใดๆ (แม้แรกๆจะขับรถแบบงงๆบ้าง แต่ขับไปสักพักก็เริ่มชิน) และโดยเฉพาะสถานที่ท่องเที่ยวที่เราไปวันนี้ก็ล้วนแล้วแต่สวยงามและน่าประทับใจทั้งสิ้น แม้โปรแกรมจะอัดแน่นไปหน่อย แต่คืนนั้นผมก็เข้านอนหลับฝันไปอย่างมีความสุข รู้สึกว่าตัวเองได้ถูกเติมเต็ม ซึ่งเป็นสิ่งที่เราคาดหวังจากการมาท่องเที่ยว
เป็นเรื่องแปลกที่การท่องเที่ยวอาจทำให้เราอ่อนล้าทางกาย แต่ใจเรากับแข็งแรงและรู้สึกได้ผ่อนคลายอย่างที่สุด
ในจดหมายฉบับหน้า ผมจะเขียนมาเล่าถึงประสบการณ์ขับรถเที่ยวอังกฤษในวันที่สองซึ่งผมจะเริ่มสำรวจเมือง Bourton on the water กันต่ออย่างจริงจัง ก่อนที่จะเดินทางไปต่อกันที่เมือง Startford Upon Avon และจะปิดท้ายวันที่สองกันที่เมือง York
รออ่านนะคับ

อยากให้คุณไปอยู่ตรงนั้นด้วยกัน
รักและคิดถึง
mgastronome
8 ธันวาคม 2018
IG mgastronome_travel
mgastronome_eat
One thought on “ขับรถเที่ยวอังกฤษ สก็อตแลนด์ Part 7 : Day 1 Stonehenge – Bath – Bibury – Bourton on the water”