The ultimate Road trip across UK
London – Scotland – Isle of Skye Part 13 : Day 7 Lochness Lake – Inverness
ถึง…เธอ
มาถึงจดหมายฉบับนี้คงเป็นจดหมายฉบับท้ายๆแล้วของเรื่องเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์ในการไปขับรถท่องเที่ยวในประเทศอังกฤษที่ผมทยอยเขียนมาเล่าให้คุณอ่าน
ทุกๆครั้งที่ผมได้เขียนเรื่องเล่าถึงการเดินทางในครั้งนั้น ผมอดรู้สึกมีความสุขไปกับการถ่ายทอดเรื่องราวในทุกตัวอักษรไม่ได้เพราะมันทำให้ผมได้ย้อนเวลากลับไปนึกถึงการเดินทางในทริปที่ต้องถือว่าเป็นการเดินทางท่องเที่ยวที่ผมประทับใจมากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต
แต่จดหมายฉบับที่คุณกำลังอ่านอยู่นี้อาจจะมีความแตกต่างอยู่เล็กน้อยเพราะมันจะเป็นจดหมายที่มีแฝงความเศร้าอยู่เล็กน้อย เนื่องจากวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่ผมและเพื่อนๆจะได้เดินทางท่องเที่ยวด้วยการขับรถ
วันนี้เป็นวันที่ผมจะต้องไปคืนรถที่เมือง Inverness จากนั้นพวกเราก็จะบินกลับไปลอนดอนด้วยสายการบิน Easy Jet
ในเช้าวันเดินทางวันสุดท้ายก่อนที่เราจะบินกลับไปลอนดอน พวกผมก็ตื่นมาทำอาหารเช้าอย่างง่ายๆ แต่มีหลากหลายเมนูมาทานกัน จากนั้นพวกผมก็ check out และเริ่มเดินทางท่องเที่ยว

สำหรับจุดหมายแรกของเราในวันนี้คือปราสาท Urquhart castle ซึ่งอยู่ห่างจากเมือง Broadfordไปประมาณ 70 ไมล์ หรือประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที
เมือง Broadford ถือเป็นเมืองหน้าด่านของเกาะ Isle of Skye ดังนั้นเมื่อออกจากเมืองนี้เราก็จะต้องข้ามสะพาน Skye Bride กลับไปยังไปแผ่นดินใหญ่
สะพาน Sky Bridge
เป็นสะพานเชื่อมระหว่างแผ่นดินใหญ่ของScotland กับ Isle of skye
สะพานแห่งนี้สร้างขึ้นในค.ศ.1820 เพื่อใช้เป็นสะพานข้ามแม่น้ำ Sligachan ที่จะเชื่อมเมือง Portree กับ Bradford ไว้ด้วยกัน

เมื่อขับรถข้ามสะพานกลับมายังฝั่งแผ่นดินใหญ่ของ Scotland แล้วเราจะเห็นปราสาท Eilean Donan อยู่ทางขวามือ แต่พวกผมไม่ได้แวะที่นี่กันนะครับ เพราะปราสาทที่เราสนใจจะไปชมกันคือปราสาท Urquhart castle

จากสะพาน Skye Bride เมื่อขับไปเรื่อยๆเราจะยังได้เห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามและยิ่งใหญ่ของ Highlands เรียกว่าขับแล้วเพลินตาตาเพลินใจมากครับ
เมื่อพวกผมขับมาถึงทางเข้าปราสาท Urquhart พวกผมก็เลี้ยวเข้าไปลานจอดรถ แต่…..
หลังจากขับรถไปที่ปราสาทและได้ลองวนเข้าไปยังลานจอดรถเพื่อหาที่จอดรถ ผมขับรถวนแล้ววนอีกแต่ก็ยังหาที่จอดกันไม่ได้ เพราะคนมาที่นี่กันเยอะมาก พวกผมจึงตัดสินใจขับรถออกไปเพราะเห็นป้ายว่ามีที่จอดอีกแห่ง
แต่….
ที่จอดอีกแห่งก็เต็มเหมือนกันทั้งๆที่ออกห่างมาจากปราสาทมากแล้ว พวกผมจึงยอมแพ้ รวมทั้งเห็นว่าปราสาทแห่งนี้เหลือแค่ซากปลักหักพังไม่ได้มีอะไรให้ดูมากนัก พวกผมจึงตัดสินใจไปยังจุดหมายต่อไปแทนนั่นคือทะเลสาป Lochness

ทะเลสาบเนสส์ (Loch NessLake)
เป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดในซีกโลกทางเหนือ อยู่ทางตอนเหนือของสกอตแลนด์ ทะเลสาปแห่งนี้มีชื่อเสียงในเรื่องของสัตว์ประหลาดที่มีชื่อว่า “เนสซี”
ลักษณะรูปร่างของทะเลสาบแห่งนี้ออกจะผิดแผกไปจากทะเลสาบอื่น ๆ คือเหยียดยาวออกไปเหมือนกิ่งไม้ โดยทะเลสาบ Lochness มีความยาวประมาณ 37 กิโลเมตร แต่มีความกว้างแค่ 1.6 กิโลเมตรเท่านั้น
สาเหตุที่ทำให้ทะเลสาบแห่งนี้มีชื่อเสียงเนื่องจากมีคนอ้างว่าพบเห็นไดโนเสาร์ที่ชื่อว่าเนสซีในทะเลสาบแห่งนี้หลายครั้ง และมีชาวประมงท้องถิ่นอ้างว่าสามารถใช้อุปกรณ์โซนาร์ตรวจจับภาพของล็อกเนสส์และพบว่ามีร่องลึกยาวประมาณ 9 ไมล์ ในระดับความลึก 813–900 ฟุต ซึ่งทำให้ล็อกเนสส์เป็นทะเลสาบที่มีความลึกเป็นอันดับ 2 ของสหราชอาณาจักรรองจากทะเลสาบโมราร์ที่ลึกถึง 1,017 ฟุต และอาจเป็นแหล่งซ่อนตัวของเนสซี
จากจุดจอดรถ เราจะต้องเดินไปฝั่งตรงข้ามซึ่งจะมีทั้งร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกเต็มไปตลอดทาง พวกเราได้เดินไปทางนี้และข้ามสะพานไปจากนั้นก็เดินต่อไปเรื่อยๆ ก็จะเจอกับพิพิธภัณฑ์แบบเสียเงินให้เข้าไปชมกันด้วย โดยในพิพิธภัณฑ์จะบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นมาของโลกใบนี้ รวมทั้งเรื่องราวการค้นพบไดโนเสาร์เนสซี และการออกค้นหามันในทะเลสาบแห่งนี้ ซึ่งจนมาถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีหลักฐานว่ามีไดโนเสาร์ในทะเลสาปแห่งนี้





จากทะเลสาบ Lochness ผมก็ขับรถต่อไปยังจุดหมายสุดท้ายใน Scotland นั่นคือ Inverness
Inverness
เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและเป็นเมืองหลวงของHighlandsตั้งอยู่ในที่ราบสูงสกอตติชที่มีคนอาศัยอยู่เพียง 41,000คน สันนิษฐานว่าเมืองแห่งนี้เริ่มตั้งขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 6
เมื่อเข้ามายังเมือง Inverness พวกผมเลือกไปจอดรถกันที่ Old Town Rose Street Multi Storey Car Parkซึ่งเป็นอาคารจอดรถที่มีหลายชั้นและอยู่ในทำเลค่อนข้างสะดวกคือสามารถเดินไปสถานที่ๆท่องเที่ยวสำคัญๆ ได้ง่ายและไม่ไกลนัก และจากอาคารจอดรถจะอยู่ติดกับวงเวียนหน้า Inverness Public Library
จุดหมายแรกในเมือง Inverness ที่เราจะท่องเที่ยวกันคือริมแม่น้ำ Ness ที่ไหลผ่านกลางเมือง
แม่น้ำเนส( River Ness)
แม่น้ำ Ness เป็นแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านเมืองInverness โดยมีความยาวประมาณ 10 กม และเป็นแม่น้ำที่มีต้นกำเนิดมาจากทะเลสาบ Lochness โดยตลอด 2ข้างทางของแม่น้ำจะมีสถานที่สำคัญๆทั้งโบสถ์ วิหาร และบ้านเรือนผู้คน เป็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามมากๆ
ตัวของแม่น้ำเองก็มีความใสและไม่ลึกมากนักทำให้สามารถมองลงไปเห็นหินก้นแม่น้ำหรือกระทั่งปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำได้ นอกจากนั้นยังมีบรรดานกพันธ์ต่างๆที่บินมาหาอาหารแถวนี้ทำให้แม่น้ำเนสเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติที่แต่งแต้มเมืองนี้ให้สวยงามมากขึ้น
บริเวณที่ผมและเพื่อนๆเริ่มต้นในการมาชมวิวทิวทัศน์ริมแม่น้ำแห่งนี้ก็คือบริเวณสะพานที่ตั้งอยู่ด้านหน้าโบสถ์ Free Nort Chuch ซึ่งเป็นสะพานที่มีเอกลักษณ์สวยงามทันสมัยแตกต่างจากสะพานอื่นๆของเมือง และจากจุดสะพานตรงนี้ก็สามารถเดินชมความสวยงามตลอดริมแม่น้ำไปจนถึง Inverness Castle โดยมีระยะห่างไม่ไกลนัก

เมื่อข้ามไปอีกฝั่งของโบสถ์ Free North church เราจะเห็นอีกโบสถ์ที่สูงตระหง่านสวยงามอยู่ริมแม่น้ำ นั่นคือโบสถ์ St. Columbia High Church และเมื่อเดินไปเรื่อยๆเราก็จะเดินผ่าน St. Mary catholic Church และจากจุดนี้เองคุณก็จะเริ่มเห็น Inverness Castle อยู่ไม่ไกล



พวกผมเดินมาถึงสะพานที่จะข้ามไปยัง Inverness Castle ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสะพานแรกที่พวกผมตั้งต้นเดินมา

แต่เนื่องจากช่วงนั้นเป็นเวลาบ่ายแล้วเราจึงตัดสินใจไปทามื้อเที่ยงกันซึ่งพวกเราได้เลือกร้านอาหารไว้ล่วงหน้าแล้วนั้นก็คือร้านอาหารจีนที่ให้บริการแบบบุฟเฟย์ในราคาย่อมเยาที่ชื่อว่า ร้านอาหาร Jimmy Chung’s Bar and Chinese Buffet , Inverness ,Scotland ,UK ซึ่งผมได้เขียนมาเล่าให้คุณอ่านในจดหมายฉบับที่แล้ว ลองกลับไปอ่านได้นะครับ
สำหรับจุดเด่นของร้านอาหารร้านนี้อย่างแรกเลยเป็นบุปเฟย์ เพราะฉะนั้นเมื่อคุณเดินมากๆ เหนื่อยมากๆ และเริ่มหิวมากๆ 555 หากมีร้านอาหารที่ให้คุณทานได้อั้นในราคาที่แน่นอนแล้วก็คงเป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อย
สำหรับรสชาติอาหารของที่นี่ถือว่าใช้ได้นะครับ ไม่ได้แย่ ไม่ได้อร่อยจนประทับใจแต่ถ้าเทียบกับราคาและความหลากหลายของเมนูแล้ว การมาทานอาหารร้านนี้ในราคา 300 กว่าบาทในประเทศอังกฤษผมถือว่าคุ้มค่ามากๆ
เมื่อทานมื้อเที่ยงกันแบบอิ่มมากๆๆๆ เรียกว่าอิ่มไปถึงมื้อเย็น พวกผมก็ออกเดินทางกันต่อไปที่ปราสาท Inverness castle ซึ่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามนี่เอง แต่ทางขึ้นไปปราสาทนั้น ถ้าคุณเดินกลับไปทางสี่แยกโดยมีปราสาทอยู่ด้านหน้า คุณต้องเลี้ยวซ้ายเข้าไปคุณก็จะเจอกับห้าง Primark ซึ่งถ้าหากคุณอยาก shopping ในเมืองนี้ นี่คือห้างที่ผมอยากแนะนำรายเพราะเสื้อผ้าราคาไม่แพงและมีคุณภาพดีมาก เพราะผมได้ซื้อกางเกงยีนส์มาหนึ่งตัวในราคา 600 บาท ทุกวันนี้ก็ยังใส่ได้ดีมากๆ

จากห้าง Primark เดินไปอีกไม่ไกลคุณก็จะเห็นทางขึ้นอยู่ฝั่งตรงกันข้าม ซึ่งทางขึ้นไป Inverness Castle นี้ก็จะมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งของเมืองนี้สำหรับคนที่รักงานศิลปะตั้งอยู่ริมทางขึ้นเลยนั้นก็คือ Inverness Art & Gallery Museum
สำหรับทางขึ้นไปยังปราสาทนั้นจะเป็นทางขึ้นลาดชันขึ้นไปแต่ก็ไม่ไกลมากครับ

Inverness Castle
สร้างโดย Malcolm ที่ 3 แห่งสก็อตแลนด์ โดยสันนิษฐานว่าสร้างมาตั้งแต่ปี 1057 แต่ตัวปราสาทสร้างด้วยหินทรายสีแดงที่เห็นในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นในปี1836 โดยสถาปนิคชื่อ William Burn
ปัจจุบันปราสาทแห่งนี้ถูกใช้เป็นที่ทำการของInverness Sheriff Courtและไม่ได้เปิดให้เข้าชม แต่จะมีการเปิด Towerด้านทิศเหนือของตัวปราสาทให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมวิวของเมือง Invernessได้ แต่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

ด้านหน้าของปราสาทจะมีรูปปั้นทองเหลือง (ซึ่งตอนนี้กลายเป็นสีเขียว) ของ Floral MacDonald ซึ่งเป็นสตรีชาว Highlands ที่ช่วยพระเจ้า Charles Edward Stuart ให้สามารถหลบหนีจากกองกำลัง Hanoverian ในสงคราม Culloden ได้ ดังนั้นจึงได้มีการสร้างรูปปั้นของเธอไว้และจารึกเพื่อเป็นเกียรติแก่เธอไว้ว่า..
‘The preserver of Prince Charles Edward Stuart will be mentioned in history, and if courage and fidelity be virtues, mentioned with honour’.

จาก Inverness Castle เราเดินไปกันต่อที่Inverness Cathedral ซึ่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามแม่น้ำ ดังนั้นผมจึงต้องเดินกลับไปทางสี่แยก แล้วเลี้ยวซ้ายเพื่อเดินไปยังโบสถ์ โดยตลอดข้างทางเดินจะมีร้านอาหารมากมาย ดังนั้นหากคุณไม่สนใจร้านอาหารที่ผมแนะนำไปก็สามารถมาลองเดินดูร้านอาหารแถวนี้ได้ครับ

Inverness Cathedral
หรือรู้จักกันอีกชื่อว่า The Cathedral Church of Saint Andrew เป็นโบสถ์ที่มีสถาปัตยกรรมแบบ Gothic Revivalถูกสร้างขึ้นในปี 1866 และสร้างแล้วเสร็จในปี1869 โดยโบสถ์แห่งนี้ถือเป็นโบสถ์โปรแตสแตนท์ที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่เป็นแห่งแรกหลังจากยุคปฏิรูป
จาก Inverness Cathedral ผมเพื่อนได้เดินย้อนกลับไปยังสถานที่ท่องเที่ยวสุดท้ายในเมืองนี้ของพวกเรานั้น Victoria Market ซึ่งอยู่ใกล้ๆอาคารจอดรถ
Victoria Market
ที่ตั้งของ Victoria Market ในปัจจุบันเคยเป็นตลาดกลางแจ้งของเมืองมาก่อน จนกระทั้งในปี 1876 ทางสภาของเมืองได้มีการสร้างอาคารให้เป็นตลาดในร่มของเมืองแต่ได้ถูกไฟไหม้เสียหายไปจนหมด จนกระทั้งได้มาสร้างใหม่อีกครั้งในปี 1890
จุดเด่นของตลาดแห่งนี้คือสถาปัตยกรรมแบบ Victorian ที่สวยงามทั้งเสา เพดานและหลังคาซึ่งมีสีแดงและสีขาวตัดกันเป็นเอกลักษณ์ โดยสิ่งของที่ขายในตลาดแห่งนี้มีครบถ้วนทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ ของฝาก ของที่ระลึกและอาหาร
จาก Victorian Market ก็ได้เวลาที่พวกผมต้องอำลาเมืองInverness รวมทั้งการท่องเที่ยวด้วยการขับรถ เพราะวันนี้ผมต้องขับรถไปคืนที่สนามบินInverness ก่อนที่จะบินกลับไปลอนดอน
สำหรับจุดคืนรถนั้นอยู่บริเวณลานด้านหน้าอาคารผู้โดยสารของสนามบินเลย ดังนั้นจึงหาได้ไม่ยาก รวมทั้งการคืนรถก็ไม่ยุ่งยากด้วยเนื่องจากผมได้ประทำประกันชั้นสูงสุดที่ครอบคลุมทุกอย่างแล้ว ดังนั้นเจ้าหน้าที่จึงไม่ตรวจอะไรมากดังที่ผมเคยเขียนมาเล่าให้คุณอ่านค่อนข้างละเอียดแล้วเกี่ยวกับ ขับรถเที่ยวอังกฤษ สก็อตแลนด์ Part 6 : การเช่ารถ รับรถและคืนรถ
ผมอยากสารภาพกับคุณว่าตอนที่คืนรถนั้นรู้สึกใจหายจริงๆ ในใจรู้สึกผูกพันกับรถคันนี้เป็นพิเศษ เป็นรถคู่ใจในการเดินทางที่สมรรถนะดีมาก ไม่ดื้อ ไม่เกเร และนำพาเราไปสู่จุดหมายอย่างปลอดภัยมาตลอด 7 วันของการเดินทาง รวมทั้งรู้สึกชอบการขับรถท่องเที่ยวแล้ว นาทีนั้นคิดแล้วใจหายจริงๆครับ

หลังจากคืนรถที่สนามบิน Inverness แล้ว พวกผมก็เข้าไปในอาคาร terminal ซึ่งสิ่งแรกที่รู้สึกได้เมื่อเข้าไปสู่ตัวอาคารคือร้อนจัง
อย่างที่ผมได้เล่าให้คุณอ่านมาหลายครั้ง เรียกว่าเขียนถึงประเด็นนี้มาตั้งแต่จดหมายฉบับแรกๆ นั่นคือที่อังกฤษในหน้าร้อนจะหาสถานที่มีเครื่องปรับอากาศได้ยากมากๆ และสนามบิน Inverness ก็เช่นกัน และเนื่องจากอากาศในวันนี้ค่อนข้างร้อน ด้านในสนามบินจึงเข้าขั้นอบอ้าว ชนิดที่ว่ามีเหงื่อซึมตลอดและรู้สึกอึดอัดมากๆ
ขนาดพวกผมไปซื้อเครื่องดื่มเย็น (ซึ่งไม่ค่อยเย็นเหมือนบ้านเรา) มาดื่มดับร้อนแล้วแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก พวกผมจึงทนรอจน counter check in เปิด แล้วรีบไป check in และโหลดกระเป๋า จากนั้นพวกผมตัดสินใจไปนั่งรอกันที่สนามหญ้าด้านนอกอาคารแทนซึ่งพบว่าอาการเย็นสบายกว่าในตัวอาคารมาก

เขียนถึงตรงนี้ก็รู้สึกทึ่งบรรดาฝรั่งเจ้าบ้านเหมือนกันว่าพวกเขาทนนั่งอยู่ในอาคารที่ไม่ไม่มีแอร์และร้อนแบบนี้ได้ยังไง
หรือบางทีพวกเราอาจจะโดนสปอยกับแอร์เย็นๆ ที่บ้านเรามากเกินไป??
พวกผมนั่งรอกันที่สนามหญ้าด้านนอก จนเมื่อถึงเวลาใกล้ boarding พวกผมก็เดินเข้าในอาคารอีกครั้งและเดินผ่านด่านตรวจเพื่อเข้าไปส่วนที่ต้องนั่งรอเพื่อขึ้นเครื่อง
นั่งไปสักพัก ทางเจ้าหน้าที่สายการบินก็ประกาศเรียก Boarding ซึ่งสนามบิน Inverness โดยตัวอาคารก็ดูใหญ่โตนะครับ แต่ที่นี่ไม่มีงวงช้างให้เครื่องบินมาเทียบท่า เราจึงต้องเดินไปขึ้นเครื่องตรงลานจอดเครื่องบิน
สำหรับสายการบินที่เราใช้บริการบินกลับไปลอนดอนวันนี้คือสายการบิน easy jet ซึ่งผมทำการจองมาตั้งแต่เมืองไทยและจองล่วงหน้าค่อนข้างนานทำให้ได้ราคาที่ค่อนข้างถูกมากๆคือแค่ประมาณ 2000 กว่าเท่านั้น
ในการใช้บริการสายการบิน low cost แบบนี้สิ่งที่ต้องระวังคือเรื่องขนาดกระเป๋า เพราะจะมีการจำกัดขนาดกระเป๋าทั้งความกว้าง ความยาว ความสูง ซึ่งกระเป๋าเดินทางท่องเที่ยวอาจไม่ได้ขนาดตามที่สายการบินกำหนดเพราะฉะนั้นต้องเช็คขนาดกระเป๋าดีๆทั้งที่ถือขึ้นเครื่องและโหลดใต้ท้องเครื่อง
ตัวเครื่องบินและการบริการถือว่าดีมากๆเลยครับ ถึงแม้จะเป็นสายการบินต้นทุนต่ำ แต่ easy jet ก็มีน้ำดื่ม ชา กาแฟและขนมเล็กๆน้อยๆให้บริการด้วย
เราออกเดินทางจากสนามบิน Inverness เวลา 20.55 และมาถึงลอนดอนตอน 4 ทุ่ม 15 นาทีหรือใช้เวลา1ชั่วโมง20 นาที โดยสนามบินที่เราเลือกมาลงในลอนดอนคือสนามบิน Luton เนื่องจากสนามบินแห่งนี้มีรสบัสเที่ยวดึกที่จะวิ่งเข้าเมืองลอนดอนได้

สนามบิน Luton เป็นสนามบินเล็กๆและกำลังมีการปรับภูมิทัศน์ต่างๆด้านในทำให้เมื่อผมไปถึงได้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ซึ่งคงเป็นความสะเพร่าไม่ขาดสติของพวกผมเองด้วย
นั่นคือหลังจากลงจากเครื่องบริเวณลานจอดเครื่องบินแล้ว ด้วยเป็นสนามบินเล็กผู้โดยสารจึงเดินเข้าอาคารสนามบินได้โดยไม่ต้องมีรถรับส่ง พวกผมก็เดินตามคนกลุ่มใหญ่ไป เดินคุยไปด้วย ถ่ายรูปไปด้วย อาศัยว่าเดินตามผู้โดยสารส่วนใหญ่ไปเรื่อยๆ
พวกผมพลาดประเด็นสำคัญไปเรื่องหนึ่งว่านี่คือสนามบินภายในประเทศ ถ้าใครเคยบินเที่ยวบินในประเทศของไทยเองจะสังเกตว่าส่วนใหญ่เป็นการเดินทางระยะสั้น ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีการโหลดกระเป๋า ส่วนใหญ่จะถือกระเป๋าขึ้นเครื่องแล้วก็ถือออกนอกสนามบินไปเลย ไม่ค่อยมีคนมารอกระเป๋าที่สายพาน
ผู้โดยสารในเที่ยวบินนี้ก็เช่นกัน ส่วนใหญ่หิ้วสัมภาระขึ้นเครื่องแล้วก็เดินออกนอกสนามบินไปเลย ดังนั้นเมื่อพวกผมเดินตามคนกลุ่มนี้ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ออกไป มารู้ตัวอีกที พวกเราก็เดินออกมาบริเวณโถงอาคารและเกือบถึงประตูทางออกอาคารสนามบินแล้วโดยที่ยังไม่ได้หยิบกระเป๋าอะไรออกมาเลย
ความซวยก็บังเกิด ณ จุดนี้เองครับ
เพราะเมื่อพวกผมพากันเดินกลับเข้าไปอีกรอบแล้วก็เห็นได้ว่าสายพานกระเป๋าเป็นจุดเล็กๆอยู่ตรงประตูทางเข้าสนามบินเลยแต่พอเราจะเข้าไปด้านในเพื่อรับกระเป๋า เจ้าหน้าที่ก็ไม่ยินยอมให้เข้าแล้วเพราะถือว่าเราได้เดินออกมาแล้ว พวกเราก็เปลี่ยนสถานะเป็นคนนอกทันที ไม่ใช่ผู้โดยสารอีกต่อไป
ไม่ว่าจะอธิบายยังไง พร้อมทั้งโชว์หลักฐานตั๋วเครื่องบินว่าพวกเราเพิ่งลงเครื่องกันมาก็ไม่ยอม เอาแต่บอกให้เราไปติดต่อสายการบิน
ปัญหาก็อยู่ตรงนี้อีกว่าเนื่องจากเรามาถึงค่อนข้างดึกแล้วcounter สายการบินจึงไม่มีเจ้าหน้าที่เลยแม้แต่คนเดียว มีเพียงป้ายแจ้งเบอร์โทรฉุกเฉินไว้แต่พอโทรไปก็ไม่มีคนรับสาย กดอยู่นานมากก็ไม่มีคนรับสาย (ทำไมมันเป็นแบบนี้เหมือนกันทั่วโลก)
ที่เจ็บปวดมากคือ ระหว่างนั้นมีแอร์โฮสเตสที่ให้บริการบนเครื่องลำที่เรานั่งมาเดินผ่านมาพอดี เราจึงรีบเข้าไปขอความช่วยเหลือแต่แอร์ท่านนั้นปฏิเสธว่าช่วยอะไรไม่ได้ แล้วก็รีบเดินออกไปแบบไม่สนใจไยดี (ให้มันได้แบบนี้สิ)
หลังจากนั้นพวกผมก็วิ่งพล่านกันพอสมควร วิ่งไปถามคนนั้นคนนี้แต่ก็ดูเหมือนไม่มีใครช่วยอะไรเราได้เลย
สุดท้ายคงเป็นความโชคดีของพวกผมเพราะบังเอิญผมได้เจอเจ้าหน้าที่สนามบินท่านหนึ่งที่กำลังจะกลับบ้านเหมือนกัน เมื่อพวกผมเดินเข้าไปขอความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ท่านนั้นก็ทำหน้าเซ็งๆแล้วก็ถามพวกผมอีกครั้งว่าพวกผมเดินออกมาโดยไม่สนใจกระเป๋าเลยเหรอ พอพวกเราพยักหน้าหงึกๆ แบบสำนึกผิด เจ้าหน้าที่หญิงท่านนั้นก็ดุกลับมาว่า…
“มันดูงี่เง่ามากเลยนะ ที่ออกมาโดยไม่สนใจกระเป๋า”
ตอนนั้นผมไม่รู้สึกโกรธกับคำต่อว่านั้นเลย ใจจริงแล้วผมยอมรับเลยว่ามันงี่เง่ามากจริงๆ
หลังจากดุเราแล้ว เจ้าหน้าที่ท่านนั้นก็หยิบวอในกระเป๋าขึ้นมาติดต่อเจ้าหน้าที่ด้านในและแจ้งว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น จากนั้นก็มาถามว่ากระเป๋าพวกมีกี่ใบ สีอะไรบ้าง สุดท้ายก็แจ้งพวกผมว่าให้ไปยืนรอที่ทางเข้าอีกครั้ง เดี๋ยวจะมีเจ้าหน้าที่เอากระเป๋าออกมาให้
ตอนนั้นเหมือนสวรรค์โปรด ความตึงเครียดทั้งหมดที่มีก่อนหน้านี้ก็มลายหายไปหมด เพราะตอนแรกพวกเรายังไม่รู้ว่าจะทำอะไรกันต่อดี ถ้ากระเป๋าออกมาไม่ได้ แสดงว่าพวกผมต้องนอนรออยู่ที่สนามบินเพื่อรอให้เคาท์เตอร์สายการบินเปิด แต่นั้นก็เท่ากับพวกผมก็ต้องทิ้งห้องที่โรงแรมคืนนี้ไปฟรีๆ นอกจากนั้นยังมีรถบัสเข้าเมืองที่เราจองตั๋วไว้เรียบแล้ว
แต่ถ้าเราจะกลับไปโรงแรมและกลับมาใหม่ก็จะต้องเสียเวลาเพราะต้องกลับมาสนามบินอีกครั้ง รวมทั้งเราต้องกลับไปโรงแรมโดยไม่มีอะไรติดตัวไปเลย
ดังนั้นเมื่อเจ้าหน้าที่ท่านนี้มาช่วยพวกผมในเวลาวิกฤตแบบนี้ พวกผมเลยรู้สึกขอบคุณเจ้าหน้าที่ท่านนั้นจริงๆแม้จะดุจะต่อว่าเราบ้างแต่ก็เหมือนผู้ใหญ่ที่เวลาดุเด็กให้เห็นถึงความผิดพลาดแต่ก็ช่วยเหลือพวกเราอย่างเต็มที่
จนถึงวันนี้ผมอยากจะบอกว่าผมยังจำเจ้าหน้าที่ผู้หญิงท่านั้นได้ชัดเจน และยังนึกขอบคุณเธอเสมอมา
ที่อยากจะเขียนเล่าคุณถึงประสบการณ์ตรงนี้เพราะอยากย้ำให้คุณมีสติและเปิดหูเปิดตาให้กว้างทุกครั้งเมื่อต้องเดินทาง เพราะคุณอาจจะไม่โชคดีอย่างพวกผม
เมื่อได้รับกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็รีบออกมาด้านนอกสนามบินเพื่อตรงไปยังจุดจอดรถบัสเพื่อเข้าเมืองซึ่งพวกผมได้มีการจองรถบัสเข้าเมืองเพื่อส่งเราที่โรงแรมแถวสถานีPaddington ไว้แล้ว โดยเที่ยวรถที่เราจองถือเป็นเที่ยวสุดท้ายของวันนี้คือตอน 5 ทุ่ม
บริเวณจุดจอดรถบัสมีผู้คนอย่างล้นหลาม และดูโกลาหลอลหม่านพอสมควร ผมเองก็งงว่าทำไมมันดูวุ่นวายขนาดนี้ทั้งๆ เพราะขนาดผู้โดยสารคนอังกฤษเองก็ดูงงๆว่าต้องขึ้นรถตรงไหน คันไหน ใช่ไม่ใช่ พวกผมจึงต้องใช้วิธีถามเอาเรื่อยๆเหมือนกัน
และเนื่องจากวันนั้นรถบัสดันมา Delayอีก จึงทำให้มีการสลับช่องการขึ้นรถด้วย เรียกว่างงกันไปอีก จนสุดท้ายเมื่อค่อนข้างแน่ใจจากการสอบถามเจ้าหน้าที่แล้วพวกผมก็ตั้งหน้าตั้งตาปักหลักรอยังจุดที่เจ้าหน้าที่แนะนำจนกระทั้งรถบัสคันที่พวกเราเดินทางมาเทียบท่า
เมื่อขึ้นไปบนรถแล้ว พวกผมก็ต้องคอยฟังว่าสถานี Paddington จะถึงเมื่อไหร่เพราะบนรถจะมีระบบดิจิตอลขึ้นหน้าจอว่ากำลังผ่านป้ายไหนบ้างและป้ายต่อไปคืออะไร
จนกระทั่งมาถึงจุดที่ป้ายอัตโนมัติบอกว่าสถานี Paddington พวกเราก็เลยเดินลงจากรถมาโดยไม่ลืมที่จะถามย้ำคนขับว่านี่ใช่Paddington ใช่มั้ยเมื่อคนขับยืนยันว่าใช่พวกเราก็ลงจากรถไป
แต่เมื่อลงไปแล้วพบว่าเป็นริมถนนที่มีแต่อาคารมืด มองยังไงก็ไม่เห็นว่าจะมีจุดไหนเป็นสถานีรถไฟชุมทางขนาดใหญ่ พวกผมจึงต้องใช้ Google Map เข้าช่วย แล้วจึงพบว่าสถานี Paddingtonนั่นอยู่ห่างออกไปอีกหลายร้อยเมตร และทางเข้าสถานีจริงๆก็อยู่อีกฝั่ง (เหมือนกับเรามาลงด้านหลังสถานี) ดังนั้นจุดที่รถบัสมาส่งเราคือป้ายที่ใกล้สถานี Paddingtonมากที่สุดแต่ไม่ใช่หน้าสถานี Paddington
ดังนั้นการท่องเที่ยวแบบนี้ผมขอยืนยันกับคุณเลยครับว่าการมีสัญญาณเนตเพื่อจะต่อเข้าGoogle Map จึงมีความสำคัญมากๆ เลยทีเดียว
และเพราะ Google Map นี่เองทำให้พวกผมสามารถเดินทางไปถึงโรงแรมได้ เพราะจากจุดที่รสบัสส่งพวกผมนั้น ทางเดินไปโรงแรมที่พวกผมพักค่อนข้างเลี้ยวลดคดเคี้ยว สลับซับซ้อนเลยทีเดียว ถ้าไม่มี Google Map พวกผมไม่มีทางไปถึงแน่ๆ แต่จริงๆแล้วจากโรงแรมเดินไปสถานี Paddington นั่นใกล้และสะดวกมาก
สำหรับโรงแรมใน London ที่พวกผมเลือกพักคือ Hyde Park Hotel , London , UK ซึ่งผมเคยเขียนมาเล่าอย่างละเอียดแล้ว ลองไปอ่านได้นะครับ โรงแรมนี้เป็นโรงแรมที่มีทำเลที่ดีมากคือใกล้สถานี Paddington ซึ่งเป็นสถานีที่เชื่อมไปยังจุดต่างๆทั่วลอนดอน รวมทั้งมีรถไฟวิ่งตรงระหว่างสถานีนี้กับสนามบิน Heathrow ด้วย ดังนั้นเวลาเดินทางกลับสนามบินก็ทำได้ง่ายด้วย
นอกจากเรื่องทำเลแล้ว ส่วนอื่นๆของโรงแรมนี้ก็ไม่ได้มีอะไรประทับใจผมนักซึ่งผมได้เคยเขียนมาเล่าให้คุณอ่านไว้อย่างละเอียดแล้วที่ Hyde Park Hotel , London , UK


วันนี้ถือเป็นอีกวันหนึ่งที่ผมได้รับประสบการณ์จากการเดินทางมากมายทั้งสุข ทั้งเศร้า ทั้งตื่นเต้น แต่โชคดีที่พวกผมผ่านมาด้วยดีทั้งหมด จนถึงตอนนี้ก็ยังอดนึกถึงตอนที่พวกผมเดินออกมาโดยลืมกระเป๋าไม่ได้ ถ้าคืนนั้นไม่มีเจ้าหน้าที่หญิงที่ใจดีท่านนั้นพวกผมจะทำอย่างไร เป็นประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงเลยจริงๆ
และเพราะในวันนั้นพวกผมได้ผ่านเรื่องราวมากมาย ในคืนนั้นจึงเป็นคืนที่แม้จะร้อน (เพราะไม่มีแอร์) แต่ผมก็หลับสนิทกว่าทุกคืนเพราะกว่าที่ผมและเพื่อนๆจะเข้านอนกันได้ก็ปาเข้าไปตี1 กว่าๆแล้ว เรียกว่าเหนื่อยกันมากๆ
สำหรับจดหมายเรื่องเล่าฉบับนี้ของผมก็คงจบลงแค่นี้ จดหมายฉบับหน้าผมจะเริ่มพาคุณทัวร์ลอนดอนผ่านตัวอักษร จะพาคุณไปพบประสบการณ์ท่องเที่ยวในมหานครที่ใครๆก็ฝันจะเดินทางมาเยือน จะเป็นอย่างไรรออ่านนะครับ



อยากให้คุณไปอยู่ตรงนั้นด้วยกัน
รักและคิดถึง
Mgastronome
IG : mgastronome_travel
Mgastronome_eat
One thought on “ขับรถเที่ยวอังกฤษ สก็อตแลนด์ Part 13 : Day 7 Lochness Lake – Inverness , Scotland , UK”