The ultimate Road trip across UK
London – Scotland – Isle of Skye Part 14 : Day 8 London Day 1 ,Buckingham Palace / London Eye / Big Ben
ถึง…เธอ
จดหมายฉบับนี้ผมจะเริ่มพาคุณไปเที่ยวมหานครในฝันที่ใครหลายคนอยากจะไปเยือน นั่นคือกรุงลอนดอน เมืองหลวงของประเทศอังกฤษ
หลังจากที่ผมได้เล่าไปในจดหมายฉบับที่แล้วว่าพวกผมมาถึงโรงแรมกันค่อนข้างดึก และกว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปตี 1 ตี 2 แล้ว แต่ในเช้าวันแรกของลอนดอน พวกผมก็ไม่สามารถตื่นสายได้เพราะผมได้มีนัดทานมื้อเช้ากันที่ร้าน Duck and Waffle ซึ่งเป็นร้านอาหารยอดนิยมแห่งหนึ่งของลอนดอนเอาไว้ตอน 8โมง
สำหรับรายละเอียดการจองร้านอาหารร้านนี้รวมทั้งรายละเอียดอื่นๆ ผมเคยเขียนมาเล่าให้คุณอ่านแล้วในจดหมายเรื่อง ร้านอาหาร Duck and Waffle , ลอนดอน , ประเทศอังกฤษ
ในเมืองลอนดอน พวกผมไม่ได้เช่ารถขับกันอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นยานพาหนะหลักๆของพวกเราในเมืองนี้จึงต้องพึ่งรถไฟใต้ดิน โชคดีที่โรงแรมที่เราพักนั้นเดินไปสถานี Paddington ได้ใกล้มากๆ


การเดินทางที่สะดวกที่สุดจากสถานี Paddington ไปร้าน duck and waffle คือการใช้รถไฟใต้ดินจากสถานีนี้ไปลงสถานี Liverpool street station ซึ่งใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง

จากสถานี Liverpool Street Station สามารถเดินไปร้านDuck and Waffle ซึ่งอยู่ที่ชั้น 40 ในตึก 110 Bishopsgateได้แบบใกล้ๆ คือเมื่อออกมาจากสถานีแล้วให้เลี้ยวไปทางขวา เดินไปทางสี่แยกใหญ่จะเห็นตึกสูงๆอยู่ฝั่งตรงกันข้าม ซึ่งทางเข้าร้านอาหารจะอยู่ด้านหน้าอาคารแบบนี้เลย ให้ลองมองหาตะเกียงคู่นี้นะคับ

ร้าน Duck and Waffle เป็นร้านอาหารที่ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง แต่ถึงแม้จะเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงแต่ร้านอาหารร้านนี้จะมีแขกเต็มอยู่ตลอดเวลาโดยเฉพาะมื้อเย็นหรือ Dinnerดังนั้นจึงควรมีการจองมาก่อน

ถ้าคุณไปเช้ามากๆและอยากจะลองเสี่ยงไปหาโต๊ะที่นั่งเอาดาบหน้า เพราะช่วงเช้าจะมีโอกาสโต๊ะว่างค่อนข้างมากกว่า ถึงตรงนี้ผมก็มีข้อแนะนำสำหรับการแต่งตัวเข้าไปทานอาหารที่ร้านแห่งนี้ว่าทางร้านจะมีกฎว่าต้องแต่งตัวแบบ smart casual หรืออย่างน้อยก็ดูสุภาพ กึ่งทางการหน่อยๆ ประเภทขาสั้นหรือรองเท้าแตะ อาจจะถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าไปทานอาหารในร้านนี้ได้
จุดเด่นของร้านอาการแห่งนี้คือบรรยากาศและวิวทิวทัศน์ที่ดีมาก นอกจากตัวตึกจะอยู่ติดกับตึกรูปทรงกระสวยอวกาศหรือ The Gherkin จนเห็นได้ชัดแล้วยังเห็นวิวทิวทัศน์รอบๆได้รอบทิศ ช่วยสร้างบรรยากาศในการทานอาหารได้ดีมากๆ

เมื่อนั่งโต๊ะพวกผมก็เริ่มทำการสั่งอาหารซึ่งเน้นไปที่เมนูดังอย่าง Duck & Waffle ที่เป็นเนื้อเป็ดส่วนสะโพกทอดกรอบนอกนุ่มในวางอยู่บน Waffle รวมทั้งมีไข่ดาวให้ด้วย และจะมีน้ำเชื่อมมาให้สำหรับราดเช่นกัน
อีกเมนูคือ Duck Benedict ที่เป็นเนื้อเป็ดมากับไข่เบเนดิกแบบทั่วไปแต่เปลี่ยนด้านล่างเป็น Waffle แทน
ส่วนเครื่องดื่มพวกผมก็สั่งกาแฟและชาเอิร์ลเกรย์ (ก็อังกฤษนี่นะ) มาทานคู่กับอาหารจานหลักด้วย
สรุปแล้วมื้อเช้าแรกของพวกผมในลอนดอนก็มีค่าใช้จ่ายไปประมาณ 89 ปอนด์หรือ 3,738 บาท ถ้าคิดเป็นต่อคนก็ประมาณ 935บาท ก็ถือว่าแรงเอาการอยู่ ปาดเหงื่อเบาๆ
การทานอาหารที่ร้านนี้ไม่ใช่จะสามารถนั่งทานชิวๆ นั่งเม้ามอยไปเรื่อยๆได้ เพราะทางร้านจะให้เวลาเราทานแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น เพราะอย่างที่ผมเคยอธิบายไว้ในจดหมายเกี่ยวกับ ร้านอาหาร Duck and Waffle , ลอนดอน , ประเทศอังกฤษ คุณจะเห็นว่าระบบการจองจะให้คุณระบุเวลาโดยจะแบ่งรอบๆละ 1 ชั่วโมง
เมื่อท้องอิ่ม (แต่กระเป๋าเบาลงไปเยอะ) พวกผมก็เดินทางไปจุดหมายต่อไปนั่นคือการไปรับบัตร London Pass สำหรับใช้ในการเข้าสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ ทั่วลอนดอน ซึ่งผมเขียนมาเล่าให้คุณอ่านไว้ค่อนข้างละเอียดแล้วในจดหมายตอน London Pass และ Oyster Card
สำหรับ London Pass นี้ พวกผมซื้อมาจากเมืองไทย โดยซื้อกันที่บริเวณห้องยื่นขอ Visa นั่นแหละ เพราะถ้าคุณสังเกตุบริเวณประตูทางเข้า จะมี Counter ที่เจ้าหน้าที่มายืนให้คำแนะนำการท่องเที่ยวในลอนดอน รวมทั้งมี London Pass รวมทั้งบัตรละครเวที บัตรดูบอล และบัตรอื่นๆอีกมากมายขายให้ด้วย
เมื่อคุณซื้อบัตร London Pass จากตัวแทน ณ จุดนั้น คุณจะได้อีเมล์ที่จะให้จดหมายมารับบัตรตัวจริงอีกครั้งที่จุดแลกบัตรซึ่งอยู่ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ Trafalgar Square ,ย่าน Piccadilly และ China Town
วิธีเดินทางมารับบัตรที่สะดวกที่สุดคือมาลงสถานี Leicester Square จากนั้นให้ออกทางประตู 1 แล้วเลี้ยวซ้ายเดินตรงมาเรื่อยๆจนผ่าน Wyndham’s Theatre จนมาเห็นจุดขายบัตรที่เหมือนอยู่ตรงกลางถนน คุณก็ไปเข้าคิวได้เลยคับ (จากจุดขายบัตรตรงนี้จริงๆจะมีทางเดินลงใต้ดินไปอีกกว่าจะถึง counter แลกบัตร

สิ่งที่ต้องเตือนอีกครั้งถ้าคุณจะไปรับบัตร London Pass คือควรจะเผื่อเวลาไว้ด้วยครับ ไม่ควรมีโปรแกรมเที่ยวอะไรที่กำหนดเวลาที่แน่นอนเอาไว้มาต่อจากการไปรับบัตร เพราะในกรณีของผมและเพื่อนๆ กลายเป็นว่าพวกเราต้องทิ้งตัวแทนไว้ 2 คนเพื่อรอรับบัตร เนื่องจากวันที่พวกผมเดินทางไปรับบัตรนั้นคิวยาวมากๆ แต่พวกผมมีโปรแกรมสำคัญที่รออยู่นั่นคือการไปชมพิธีการผลัดเวรยามของทหารหน้าพระราชวัง Buckingham ซึ่งกำหนดไว้ตอน 11.00 โมง
ดังนั้นเพื่อนๆของผมที่ต่อคิวลงไปถึงชั้นใต้ดินแล้ว แต่ยังมีแถวอีกยาวมากกว่าจะถึง Counter รับบัตรจึงโทรศัพท์มาแจ้งผมและเพื่อนอีกคนที่รออยู่ด้านบนให้ไปชมการเปลี่ยนทหารยามกันก่อน อย่างน้อยจะได้มีคนไปเห็นของจริงและถ่ายภาพมาแชร์กันได้
เมื่อสรุปกันได้ดังนี้แล้ว ทั้งผมและเพื่อนจึงต้องกึ่งเดิน กึ่งวิ่งไปพระราชวัง Buckingham เพื่อให้ทันตอน 11 โมง แต่ถ้าคุณต้องการจะมาที่นี่โดยรถใต้ดินก็สามารถเดินทางมาได้ง่ายๆ ด้วยการมาลงที่สถานี Victoria station จากนั้นเมื่อขึ้นมาจากสถานีก็ให้เดินไปตามถนน Buckingham จนมาถึงหน้าพระราชวังได้เลย
ส่วนกรณีของผมนั้นก็ใช้วิธีกึ่งเดินกึ่งวิ่งจนมาถึงหน้าพระราชวังโดยตัดมาทางสวน Green Park จนมาถึงพระราชวัง
เมื่อมาถึงก็พบว่าพิธีได้เริ่มไปสักระยะนึงแล้ว โดยมีผู้ชมล้นหลาม ล้นมากๆๆๆ มายืนชมพิธีอยู่ที่นั้น
พิธีการผลัดเปลี่ยนเวรยาม Buckingham Palace
เป็นพิธีการเปลี่ยนเวรทหารที่โด่งดังที่สุดในโลกก็ว่าได้ เนื่องจากการเปลี่ยนเวรยามระหว่างผลัดเก่ากับผลัดใหม่ของพระราชวัง Buckingham นั้นไม่ได้ทำกันแบบ Minimal เล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นการเปลี่ยนทหารเวรยามแบบจัดชุดใหญ่ไฟกระพริบ ดังนั้นนักท่องเที่ยวที่มาเยือนลอนดอนจึงมักบรรจุโปรแกรมนี้ไว้ด้วยเสมอ
ขบวนของทหารที่จะมาเปลี่ยนเวรยามนี้เรียกอีกชื่อว่า Guard Mounting โดยจะเริ่มจากนอกพระราชวังบักกิ้งแฮมตอน 10.45 น. และจะใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 45 นาที แต่ช่วงเวลาที่มีการส่งมอบหน้าที่กันจริงๆจะเกิดขึ้นในเวลา 11.00 น.
การมาชมการเปลี่ยนทหารของพรราชวัง Buckingham นอกจากจะได้เห็นความเป็นระเบียบ ความพร้อมเพรียง ความสง่างามและน่าเกรงขามของบรรดา The Queen’s Guard แล้ว ยังจะได้เห็นความสวยงามของชุดแต่งกายจากกองทหารที่สวมเครื่องแบบเต็มยศสีแดงสวยงาม พร้อมทหารม้าแบบชุดใหญ่ ทำให้พิธีการเปลี่ยนทหารนี้ดูขลังและน่าสนใจไม่น้อยเลย
ปัจจุบันการเปลี่ยนกะของทหารรักษาวังแบบชุดใหญ่มักจะจัดขึ้นวันเว้นวัน โดยส่วนใหญ่จะเป็นวันจันทร์ พุธ ศุกร์และอาทิตย์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับสภาพอากาศด้วย
สำหรับทำเลที่ดีที่สุดในชมพิธีนี้คือบริเวณลาน Victoria memorial ที่อยู่ด้านหน้าของพระราชวังบักกิ้งแฮมเลย เนื่องจากเป็นลานที่ยกพื้นสูงทำให้เห็นมุมต่างๆได้กว้าง แต่….ถ้าคุณอยากได้ทำเลตรงนี้ก็คงต้องไปจับจองพื้นที่ๆกันแต่เนิ่นๆ ที่สำคัญคุณต้องเตรียมอุปกรณ์และร่างกายให้พร้อมด้วย เพราะบริเวณตรงนั้นไม่มีที่ร่มให้หลบ และถ้าคุณเจออากาศแบบที่ผมเจอวันนั้นคุณอาจจะสติแตกก็ได้เพราะอากาศร้อนมากๆๆๆๆๆ แสงแดดนี่แรงสุดๆ ผมจึงอยากให้คุณจินตนาการว่าถ้าคุณต้องไปยืนกลางที่โล่ง ท่ามกลางแดดจัดๆ ตอน 11 โมง ถึงเวลาเกือบเที่ยง คุณจะไหวหรือเปล่า เพราะการจะได้มาซึ่งที่ยืนแบบ Ring Side เพื่อชมพิธีการเปลี่ยนเวรทหารยามนี้ต้องแลกกับสถานการณ์ที่ผมเล่าไปแล้วด้านบน

ในส่วนของผมนั้น ต้องสารภาพกับคุณตรงๆว่าไม่สู้แดดและความร้อนเท่าไหร่ 555 ดังนั้นผมจึงยึดแนวกำแพงสวนไว้แล้วยอมดูจากตรงนั้นในที่ๆไกลออกมาหน่อย แต่ดีต่อสุขภาพกาย สุขภาพผิวมากกว่า 555 แต่โชคดีที่โซนนั้นเป็นโซนที่ทหารม้าจะเดินผ่านช่วงท้ายพิธีด้วยจึงเห็นได้ชัดแจ๋วเลย
ผมยืนดูพิธีนี้จนเสร็จสิ้น เพื่อนๆของผมที่รอรับบัตรก็เดินทางมาสบทบพอดี พวกผมจึงไปหาอะไรง่ายๆ ใกล้พระราชวังทานกัน เพราะหลังจากมื้อเที่ยง พวกผมมีนัดจะเข้าไปชมพระราชวัง Buckingham ด้านในตอนบ่ายโมงตรงซึ่งพวกผมได้ทำการจองล่วงหน้าผ่านเวบไซส์มาจากเมืองไทยแล้ว
ถ้าคุณมีโอกาสไปลอนดอนในหน้าร้อนของอังกฤษ ประมาณเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม โปรแกรมที่คุณไม่ควรพลาดเลยคือการจองตั๋วเข้าไปชมด้านในของพระราชวัง Buckingham เนื่องจากการเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าไปชมพระราชวังแห่งนี้จะเปิดให้เข้าชมแค่ปีละ2 เดือนคือกรกฎาคมและสิงหาคมเท่านั้น เนื่องจากเป็นช่วงที่สมเด็จพระราชินีนาถจะเสด็จหนีร้อนไปสก็อตแลนด์ซึ่งมีอากาศที่เย็นสบายกว่ามาก
ดังนั้นถ้าคุณมีโอกาสไปเยือนลอนดอนในช่วงเวลาดังกล่าวแล้วจึงไม่อยากให้คุณพลาดโปรแกรมนี้ครับ โดยคุณสามารถจองบัตรล่วงหน้าได้ที่ https://buckinghampalace.londonpass.com/tickets.html
ในเวบไซส์ด้านบนจะบอกช่วงที่พระราชวังเปิดให้เข้าชมในแต่ละปีด้วย ซึ่งในปี 2019นี้พระราชวัง Buckingham จะเปิดให้เข้าชมระหว่างวันที่ 20 กรกฎาคม ถึง 29 กันยายน 2562โดยมีค่าใช้จ่าย 25 ปอนด์ต่อคน
ในวันแรกของผมและเพื่อนๆใน London นั้นต้องขอบอกเลยคับว่าเป็นวันที่ร้อนมากๆๆๆๆ ซึ่งจริงๆแล้วอากาศก็ไม่ได้ร้อนไปกว่าเมืองไทยหรอกครับ เพียงแต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าอากาศที่ร้อนคือการที่ไม่มีสถานที่ๆมีแอร์ให้หลบร้อนเลยดังที่ผมเขียนเล่าให้คุณอ่านแล้วในตอน ขับรถเที่ยวอังกฤษ สก็อตแลนด์ Part 2 : ข้อควรรู้ก่อนขับรถเที่ยวอังกฤษ ซึ่งก็เข้าใจได้ เพราะยุโรปเป็นเมืองหนาว ช่วงที่มีอากาศร้อนก็ไม่นานนัก การมีเครื่องปรับอากาศไว้ใช้ช่วงสั้นๆจึงอาจไม่คุ้ม
แต่สำหรับคนไทยที่อาจจะชินกับการไปหาที่ตากแอร์ในวันที่อากาศร้อน มาเจอแบบนี้ก็ปรับตัวไม่ทันเหมือนกัน ในตอนแรกพวกผมจึงพยายามเดินสำรวจหาร้านอาหาร หรือร้านกาแฟที่อยู่ใกล้ๆตัวพระราชวังโดยตั้งโจทย์ว่าต้องเป็นร้านที่มีแอร์ซึ่งพวกผมใช้เวลาเดินหากันพอสมควรแต่ก็หาร้านแบบมีแอร์ไม่ได้จริงๆ
สุดท้ายพวกผมจึงตัดสินใจกลับมายังร้านกาแฟที่ใกล้พระราชวังร้านหนึ่งโดยหวังว่าจะสั่งเครื่องดื่มเย็นมาทานกับ Sandwich แบบง่ายๆ คลายร้อน แต่พวกผมก็นั่งทานกันในร้านได้ไม่ถึง 15 นาทีก็ต้องรีบตัดสินใจเดินออกจากร้าน เพราะนั่งไปเหงื่อก็ไหลไป ซับหน้า ซับคอกันจนรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว


สุดท้ายพวกผมก็มาจบลงที่สวนด้านหน้าพระราชวังซึ่งผมว่ามีอากาศโล่ง โปร่งและเย็นสบายกว่าร้านกาแฟเมื่อกี้มากๆ
พวกเรายังแซวเล่นกันว่า พวกผมเคยสงสัยว่าทำไมฝรั่งถึงชอบไปนั่งในสวนสาธารณะ ไม่ร้อนกันหรือไร?
พวกผมเพิ่งมาได้คำตอบวันนี้เองว่า อ๋อ ก็ในสวนมันดันเย็นสบายกว่าร้านอาหารหรือร้านกาแฟไง คนจึงนิยมไปนั่งในสวนกันมากกว่า 555
ผมนั่งคุยกับเพื่อนๆในสวนเพื่อรอเวลาเข้าไปชมพระราชวัง สักพักผมก็ขอตัวเพื่อไปเดินไปชมพระราชวังจากด้านนอกอีกครั้ง เพราะเมื่อเช้าในพิธีเปลี่ยนเวรทหารมีผู้คนล้นหลามเลยได้ชมพระราชวังได้ไม่เต็มตาเท่าไหร่
Buckingham Palace
เป็นพระราชวังที่เป็นที่ประทับอย่างเป็นทางการของราชวงศ์นอกจากนั้นยังใช้เป็นสถานที่สำหรับงานเลี้ยงรับรองของรัฐบาล
พระราชวังบักกิ้งแฮมแต่เดิมชื่อ “คฤหาสน์บักกิงแฮม” (Buckingham House) เป็นคฤหาสน์ของจอห์น เชฟฟิลด์ ดยุคแห่งบักกิงแฮมในปี 1703 ต่อมาในปี 1761 สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 ได้ทรงซื้อคฤหาสตน์นี้จากดยุคแห่งบักกิงแฮมเพื่อเป็นพระราชฐานส่วนพระองค์ ที่รู้จักกันในชื่อ The Queen’s House
พระราชวังแห่งนี้มีการขยายต่อเติมโดยสถาปนิกชื่อ John Nash และ Edward Blore มาตลอดจนเป็นอย่างที่เห็นอย่างปัจจุบัน พระราชวังบักกิงแฮมกลายมาเป็นพระราชฐานที่ประทับอย่างเป็นทางการของราชวงศ์อังกฤษเมื่อสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียขึ้นครองราชย์เมื่อปี ค.ศ. 1837
ภายในของ Buckingham Palace นั้นเต็มไปด้วยงานศิลปะที่เป็น collection ของราชวงศ์ที่เก็บสะสมมาอย่างยาวนาน เเละจะเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม 19 ห้อง จากจำนวนห้องทั้งหมดในพระราชวังกว่า 700 ห้อง ในช่วงราวๆ กรกฎาคมหรือสิงหาคมถึงเดือนกันยายน เพราะสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 จะเสด็จแปรพระราชฐานไปประทับที่สก็อตแลนด์ โดยคุณสามารถสังเกตได้ว่าสมเด็จพระราชินีทรงประทับอยู่ที่พระราชวังหรือไม่ ผ่านธงประจำพระองค์ที่หากมีการชักขึ้นยอดเสาที่พระราชวังก็เเสดงว่าพระองค์ทรงประทับอยู่
Victoria Memorial
ด้านหน้าของพระราชวัง Buckingham จะมีอนุสาวรีย์ของพระราชินีนาถวิคตอเรียที่ทั้งยิ่งใหญ่และสวยงาม สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรียซึ่งได้สิ้นพระชนม์ในปี 1901
Victoria memorial นี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1906 และได้เปิดอย่างเป็นทางการโดยกษัตริย์จอร์จที่ 5 ในปี 1911
ผมเดินเก็บภาพท่ามกลางแดดเปรี้ยงๆและอากาศที่ร้อนสุดๆไปสักพักก็เห็นเวลาใกล้ที่จะต้องไปเข้าชมพระราชวังแล้ว ผมจึงเดินกลับไปหาเพื่อนๆ ที่นั่งกันอยู่ในสวนแล้วก็เตือนว่าถึงเวลาที่จะต้องไปกันแล้ว เพื่อนๆทุกคนจึงค่อยๆทยอยลุกขึ้น
ทุกอย่างเหมือนกำลังไปได้ดีตามแผนการเที่ยวที่พวกผมวางกันเอาไว้จนกระทั่งมีเสียงจากเพื่อนคนหนึ่งพูดด้วยความตกใจขึ้นมาว่า….
กระเป๋าหาย !!!
เอาล่ะซิ!!! Moment แห่งความโชคร้ายที่ไม่มีใครอยากให้เกิดมาเยือนอีกแล้ว
พวกผมทุกคนช่วยกันมองหาเพราะต่างก็จำกระเป๋าของเพื่อนคนนี้ได้ดีเพราะเป็นกระเป๋าใบเดียวที่ใช้มาตลอดทาง รวมทั้งทุกคนก็จำได้ว่าตอนนั่งลงกันที่สวนแห่งนี้กระเป๋าใบนี้ก็ยังอยู่ แต่มองหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ จนสุดท้ายพวกเราต้องยอมรับความจริงว่ามันโดยขโมยไปแล้วแน่นอน
สารภาพว่าตลอดเวลาในการท่องเที่ยวในประเทศอังกฤษ พวกผมไม่ได้มีความระแวดระวังมากนักเพราะประเทศนี้ไม่ค่อยได้ยินเรื่องการฉกชิงวิ่งราวหรือขโมยกระเป๋ามากเท่าไหร่เมื่อเทียบกับประเทศใกล้ๆอย่างฝรั่งเศส หรืออิตาลี
ดังนั้นตอนที่นั่งในสวนแห่งนี้เพื่อนผมก็วางกระเป๋าไว้ข้างๆตัว โดยที่ไม่ทันระวัง ระหว่างที่พูดคุยกันด้วยความเพลิดเพลินคงเป็นโอกาสให้หัวขโมยมาหยิบกระเป๋าของเพื่อนผมคนนี้ไปได้
ส่วนหนึ่งที่การขโมยแบบนี้เกิดขึ้นได้ง่ายเนื่องจากอากาศวันนั้นค่อนข้างร้อน จึงมีผู้คนมานั่งในสวนจำนวนมาก เรียกว่านั่งติดๆ กันจนบางกลุ่มมองเผินๆอาจจะนึกว่าเป็นกลุ่มที่มาด้วยกัน
พวกผมจึงสันนิฐานว่าหัวขโมยคงถือโอกาสนี้มานั่งใกล้ๆพวกเรา และคอยโอกาสที่เหมาะสม จากนั้นก็รีบกระคว้ากระเป๋าของเพื่อนผมไปเลย ซึ่งการจะทำอะไรแบบนี้ได้คงต้องมีความเป็นมืออาชีพพอสมควร
ดังนั้นผมจึงอยากจะเตือนคุณว่า…การไปท่องเที่ยวต่างประเทศ ไม่มีที่ไหนปลอดภัย เราเองคงต้องดูแลตัวเอง และระวังตัวไว้ตลอดเวลา
เมื่อต้องยอมรับความจริงแล้วว่ากระเป๋าได้หายไปแล้วแน่นอน คำถามต่อมาคือ…แล้วจะทำอย่างไรกันดี??? เพราะในกระเป๋าของเพื่อนผมดันใส่ทุกอย่างลงไปในนั้น ทั้งเงิน มือถือ และพาสปอร์ต (ส่วนของเงินเป็นเงินทั้งหมดที่แลกมาด้วย เพราะฉะนั้นผมอยากจะแนะนำคุณว่าควรแบ่งเงินเป็น 3 ส่วน เก็บในกระเป๋าใบใหญ่ กระเป๋าถือและกระเป๋าสตางค์ เพื่อลดความสูญเสียเวลาเกิดอะไรขึ้น)
ในส่วนของเงินและมือถือนั้นยังไม่มีปัญหา แม้จะเป็นจำนวนที่มากเหมือนกัน แต่ Passport คือสิ่งที่พวกผมเป็นกังวลเพราะจะต้องใช้ในการเดินทางซึ่งพวกผมมีกำหนดจะเดินทางกลับในอีก2 วัน และความโชคร้ายที่รออยู่คือวันที่เกิดเหตุการณ์นี้คือวันศุกร์ ดังนั้นวันพรุ่งนี้จะเป็นวันเสาร์ อาทิตย์ซึ่งสถานทูตไม่เปิดทำการ
โชคดีที่วันนั้นพวกผมมีเพื่อนที่กำลังเรียนที่อังกฤษมาสบทบเพื่อจะเที่ยวและไปทานมื้อเย็นกับพวกเราด้วย เพื่อนคนนี้ได้ช่วยติดต่อสถานทูตให้ แต่พวกเราก็ต้องรีบดำเนินการเพราะวันที่เกิดเหตุเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของในหลวงรัชกาลที่ 10 ซึ่งเจ้าหน้าที่สถานทูตทั้งหมดจะต้องไปร่วมงานพิธีจุดเทียนชัย
แต่ก่อนที่จะทำอะไรต่อไป ผมได้เสนอว่าให้เพื่อนๆ บางส่วนแยกเข้าไปชมพระราชวังตามกำหนดการเดิมเพราะถึงจะยกกันไปทั้งขโยงก็ไม่ได้ช่วยอะไร แถมการไปไหนมาไหนเป็นขบวนใหญ่อาจจะไม่สะดวก ดังนั้นจึงมีแค่ผมกับเพื่อนที่กระเป๋าหายไปดำเนินการต่อ เนื่องจากในกลุ่มผมเป็นคนที่ภาษาดีที่สุดและค่อนข้างสนิทกับเพื่อนคนนี้มากกว่า
สิ่งแรกที่ผมทำคือพยายามเดินหาตำรวจแถวๆนั้นเพื่อจะแจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่กลับไม่พบตำรวจอยู่ใกล้ๆเลย นอกจาก….ทหารยามรักษาการณ์หน้าพระราชวัง
ผมจึงเดินเข้าไปแจ้งว่ากระเป๋าพวกเราหาย พอจะดำเนินการอะไรได้บ้าง
ทหารรักษาการณ์คนนั้นถามผมกลับมาว่าหายที่ไหน
ผมเลยบอกว่าหายที่สวนข้างๆพระราชวัง
ทหารคนนั้นก็ตอบมาทันทีเลยว่า….ถ้าไม่หายในพระราชวังก็ไม่เกี่ยวอะไรกับผม
คำตอบนั้นทำเอาสมองผมตื้อไปพักนึง ผมอดไม่ได้ที่จะสบถในใจว่า “ตรูเป็นเชื้อพระวงศ์เหรอไง กระเป๋ามันถึงจะไปหายในวังได้ #%$#%%$%&*$
เมื่อหวังพึ่งไม่ได้แล้ว ทางผมก็รีบติดต่อเจ้าหน้าที่สถานทูตเพื่อจะนัดหมายเข้าไปขอทำเอกสารแทน Passport ระหว่างนั้นผมก็นึกขึ้นได้ว่ามือถือของเพื่อนผมเป็น iphone แล้วโทรศัพท์ก็อยู่ในกระเป๋าที่หายไป น่าจะลองหาได้
ผมจึงใช้มือถือตัวเอง log in เข้ารหัสของเพื่อนที่กระเป๋าหาย และสิ่งที่เกิดขึ้นก็ทำให้พวกผมมีความหวังขึ้นมา เพราะโปรแกรมมันหาตำแหน่งโทรศัพท์ของเพื่อนผมเจอ ที่สำคัญมันกำลังเคลื่อนที่ไปทางด้านหลังของพระราชวัง Buckingham แต่ก็ไปไกลพอสมควรแล้ว

พวกผมจึงตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมายจากสถานทูตไปสถานีตำรวจแทน
โดยความตั้งใจ ผมจะโชว์ตำแหน่งของ iphone ของเพื่อให้ตำรวจเพื่อตำรวจไปกับพวกเราเผื่อมีอะไรเกิดขึ้น จากพระราชวัง Buckingham มีสถานีตำรวจอยู่ห่างไปประมาณ 15 นาทีด้วยการเดิน พวกผมจึงกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่สถานีนั้น
เมื่อไปถึงผมก็รีบเข้าไปแจ้งเหตุ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาทำพวกผมผิดหวังมากๆเลยทีเดียว
นอกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับแจ้งเรื่องจะมีสีหน้าไม่สนใจไยดีแล้ว ยังเอาแต่บ่นและต่อว่าพวกเราว่าทำไมไม่ระวัง คิดเหรอว่าที่นี่ปลอดภัย ทำไมไม่หนีบกระเป๋าไว้กับตัว ทำให้หายได้ยังไง นักท่องเที่ยวแบบนี้แหละขโมยชอบนัก บลาๆๆๆๆ จนผมต้องตัดบท เอาล่ะ คือมันหายไปแล้ว และตอนนี้พวกผมใช้โปรแกรม find iphone จนหามันเจอแล้ว ซึ่งตอนที่ผมโชว์ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดู ตำแหน่ง iphone ของเพื่อนผมได้นิ่งสนิทอยู่กับที่และไม่เคลื่อนไหวแล้ว
เมื่อเห็นตำแหน่งของ iphone ของเพื่อนผมแทนที่ตำรวจคนนั้นจะมีความกระตือรือร้นช่วยเหลือ (ซึ่งไม่เคยมีมาตั้งแรกอยู่แล้ว ผมนี่ก็หวังอะไรลมๆแล้งๆ) ตำรวจท่านนั้นกลับตอบพวกผมมาด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยดีว่าตำรวจอังกฤษคงไม่ไปสุ่มสี่สุ่มห้าค้นบ้านคน หรือค้นใครโดยไม่มีหลักฐานที่แน่นอนนะว่าเค้าขโมยของคุณ ถ้าอยากให้ไป คุณต้องไปหาหลักฐานอื่นมาว่ากระเป๋าคุณอยู่ที่นั้นให้ตำรวจดู
สรุปก็คือคงไม่ไปไหนหรือทำอะไรทั้งนั้น
เมื่อหมดหวังว่าเคสนี้คงเป็นเคสที่ตำรวจไม่ใส่ใจ ไม่สนใจจะทำอะไรทั้งนั้น ผมจึงขอเรื่องสุดท้าย ซึ่งเป็นเรื่องง่ายๆ คือขอแค่คำแนะนำว่าเราควรจะทำอย่างไร
ตำรวจคนนั้นใช้สีหน้าเรียบเฉยๆตอบมาว่า…ไม่รู้ แล้วก็เริ่มต้นบ่นเรื่องที่เราไม่ระวังจนของหายอีก
ผมเลยตัดสินใจเดินออกมาเลย เพราะรู้สึกว่าการอยู่ที่นี่ต่อไปคงจะเสียเวลาไปเปล่าๆ และก็รู้สึกขึ้นมาอย่างหนึ่งว่า…นี่เหรอตำรวจของประเทศที่พัฒนาแล้ว??
จริงๆถ้าช่วยไม่ได้ หรือไม่สะดวกจะไปร่วมหากระเป๋าของเพื่อนผม ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าไม่ใช่เคสใหญ่โตอะไรมากมาย แต่อย่างน้อยก็ควรมีท่าทีเห็นอกเห็นใจ หรือให้คำแนะนำอย่างเพื่อนร่วมโลกที่ดีต่อกันบ้าง แต่ตลอดเวลาระหว่างการสนทนานั้น การใช้คำพูดและสีหน้าของตำรวจท่านนี้อดทำให้ผมรู้สึกไม่ได้ว่า..มันมีความเหยียดอยู่ในนั้นตลอดเวลา นั่นคือสาเหตุที่ผมเดินออกมาด้วยความรู้สึกแย่ๆ กับตำรวจท่านนั้นเป็นอย่างมาก
แต่ถึงจะโดนปิดประตู ไม่ให้ความช่วยเหลือใดๆ (แม้กระทั่งคำแนะนำ) ถามว่าพวกผมยอมแพ้มั้ย ??? ต้องขอบอกคุณเลยคับว่าพวกผมไม่ยอมแพ้
ถึงตอนนี้ผมก็แปลกใจกับการตัดสินใจของตัวเองในวันนั้นเหมือนกัน
บางทีอาจจะเป็นเพราะการถูกปฏิเสธ การถูก Ignore จากเจ้าหน้าที่ทั้งที่หน้าพระราชวัง และสถานนีตำรวจ ทำให้พวกผมรู้สึกว่าเราไม่ได้อยากจะงอมืองอเท้าขอความช่วยเหลือเพียงฝ่ายเดียว ถ้าพวกเขาไม่ช่วย อะไรที่พอจะทำด้วยตัวเองได้ พวกเราก็จะทำ
พวกผมจึงตัดสินใจเรียก Taxi ไปยังจุดที่ iphone นั้นหยุดอยู่ ในใจไม่ได้คิดจะไปเคาะประตูค้นหากระเป๋าในบ้านคน หรือไปค้นตัวใครหรอกครับ เพราะมันไม่ควรทำอยู่แล้ว มีแต่ยิ่งจะเสี่ยงอันตรายมากเกินไปด้วย

แต่ที่พวกผมยังไปตามหากระเป๋าเพราะยังมองโลกในแง่ดีว่าโจรอาจจะเอากระเป๋าของเพื่อนผมไปทิ้งไว้ ณ ตำแหน่งนั้น เพราะสุดท้ายสิ่งที่เราต้องการคือ Passport ไม่ใช่ของมีค่าอื่นๆ แม้ในใจลึกๆก็ยังกังขาเหมือนกันว่าโจรมันจะทิ้งมือถือทำไม เพราะเป็นมือถือ iphone รุ่นใหม่ เอาไปขายก็ได้เงินมาเหมือนกัน

ในที่สุด Taxi ก็พาเราไปจุดที่โปรแกรม find iphone โชว์ว่าตำแหน่งมันอยู่ตรงนั้น ซึ่งเป็นการโชว์แบบกว้างๆนะครับ เพราะเมื่อไปถึงตรงนั้นกลับไม่มีบ้านคนอยู่ ดูจะเป็นอาคารสำนักงานและย่าน shopping มากกว่า แต่เป็นจุดที่ไม่พลุกพล่าน ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านมา มีแต่ต้นไม้กับสวนเล็กๆอยู่ในบริเวณนั้น พวกผมจึงช่วยกันเดินค้นหาตามต้นไม้ ตามถังขยะ และมุมอาคารต่างๆ จนกระทั่งผมได้ยินเสียงเพื่อนตะโกนมาว่า
เจอแล้ว!!!
จะเรียกสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นปาฏิหารย์ก็คงใช่ เพราะสิ่งที่พวกผมหวังได้เป็นจริงขึ้นมาเมื่อเพื่อนผมเจอกระเป๋าของเค้าวางอยู่ในพุ่มไม้ครับ (ถ้าไม่ค้น ไปดูก็ไม่เห็น)
นอกจากเจอกระเป๋าแล้ว สิ่งที่ทำให้พวกผม Surprise มากก็คือมือถือก็ยังอยู่ในนั้น นั้นเป็นสาเหตุให้เราตามหากระเป๋าใบนี้จนเจอ รวมทั้ง Passport ด้วย สิ่งที่หายไปจึงมีแค่เงินสดเท่านั้น แม้จะเป็นจำนวนที่มากเอาการอยู่ แต่การได้กระเป๋า มือถือ และ Passport คืนมาแบบนี้ก็ถือว่าเป็นปาฎิหารย์มากแล้วจริงๆ
และพวกผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่เราตัดสินใจไม่ยอมแพ้เสียตั้งแต่ตอนนั้น ตอนที่เจอผู้คนแย่ๆที่เหมือนจะทำให้เราหมดหวังไปกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ด้วย
ผมเขียนรายละเอียดตรงนี้ให้คุณอ่านค่อนข้างยาวเพราะอยากให้เป็นอุทาหรณ์ เพื่อให้คุณระมัดระวังทรัพย์สินระหว่างการท่องเที่ยวในประเทศและเพื่อเป็นการย้ำเตือนอีกครั้งถึงสิ่งที่พวกเราได้รับการบอกกล่าวมานับครั้งไม่ถ้วนว่า…ไม่มีที่ไหนปลอดภัย ขอให้มีสติและระมัดระวังตัวเสมอ
และในกรณีที่คุณใช้ iphone การลงโปรแกรม find iphone ไว้จะเป็นประโยชน์มาก ที่สำคัญต้องจำ user name และ Password ไว้ด้วยนะครับ
สุดท้ายคือ..ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน อย่างไปหวังพึ่งคนอื่นเลยครับ
เวลาเจอเรื่องร้ายๆ แย่ๆ ก็พยายามแก้ปัญหาไปเท่าที่สติปัญญาของเราจะมี สุดท้ายจะแก้ได้หรือไม่ได้ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดอย่าไปเก็บมาเป็นสิ่งทำลายความสุขของการเดินทางเลยครับ
โชคดีที่กลุ่มของผมก็สามารถใช้หลักการข้างต้นมาใช้เวลาท่องเที่ยวได้
พอเรื่องนี้จบลงทุกอย่างก็เลยเข้าสู่โหมดปกติ แม้กระทั่งเพื่อนที่สูญเงินไปก็ยังกลับมาเที่ยวปกติได้เพราะมองในมุมที่ว่าในความโชคร้ายก็มีความโชคดีอยู่ ที่ได้มือถือกับ Passport คืนมา ไม่ได้เสียหายไปทั้งหมด
พวกผมกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เมื่อเพื่อนอีกกลุ่มเสร็จจากการเข้าชมพระราชวังพอดีซึ่งทุกคนก็ตื่นเต้นมากและไม่คาดคิดว่าเพียงแค่เวลาไม่กี่ชั่วโมงจะมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายขนาดนี้ เราจึงคุยกันว่าถือโอกาสไปทานมื้อเย็นเลยแล้วกันจะได้มาเล่ารายละเอียดต่างๆ ให้ฟังกันด้วย
จากเหตุการณ์นี้ผมเลยอดเข้าไปชมพระราชวัง Buckingham ที่เปิดแค่ปีละ 2 เดือน แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ให้บทเรียนที่ดีหลายอย่าง อาจจะดีและคุ้มค่ากว่าการเข้าไปชมพระราชวังก็ได้ ที่สำคัญผมได้อยู่เคียงข้างช่วยเพื่อนแก้ปัญหาเวลาที่เขาเดือดร้อนและต้องการเรามากที่สุด บางทีนี่ละคือสิ่งที่มีคนบอกว่า That’s what friends are for
เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้ว พวกผมก็เดินทางไปร้านที่พวกผมจะไปทานมื้อเย็นกัน
ร้านนี้เป็นร้านที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาที่ลอนดอนซึ่งผมได้เขียนมาเล่าให้คุณอ่านก่อนหน้านี้แล้ว นั่นคือร้าน ร้าน Burger and Lobster , ลอนดอน , ประเทศอังกฤษ
พวกเราใช้รถไฟใต้ดินเดินทางไปสถานี Piccadilly circus station ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้าน Burger and lobster สาขาใกล้ๆ chaina town ซึ่งเป็นสาขาที่จริงๆแล้วค่อนข้างจะมีแขกแน่นร้านและต้องต่อคิว แต่เนื่องจากวันนั้นพวกผมไปค่อนข้างเร็ว รวมทั้งมีฝนโปรยปรายลงมาด้วย ดังนั้นเมื่อไปถึงผมจึงได้โต๊ะเลย
Burger and lobster เป็นร้านอาหารที่เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2011 และได้รับความนิยมจนสามารถเปิดสาขาได้ถึง 9 สาขาในอังกฤษและมีการขยายสาขามาที่ประเทศไทยด้วย
ชื่อร้านก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าร้านอาหารร้านนี้มีชื่อเสียงในเมนูเบอร์เกอร์เนื้อและล็อบสเตอร์สดที่มีสาขาอยู่หลายสาขาทั่วลอนดอน องค์ประกอบสำคัญในเกือบทุกเมนูและเป็นจุดที่ทำให้ร้านนี้แตกต่างจากร้านอื่นๆคือ Lobster ซึ่งที่ร้านนี้จะใช้ Lobster สดที่นำเข้ามาจากเมือง Nova Scotia ประเทศแคนาดาโดยมีหลายขนาดให้เลือกและราคาก็ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของ Lobster ที่เราสั่ง
หลังจากได้โต๊ะ บริกรจะเริ่มจากให้เราสั่งเครื่องดื่มก่อน ซึ่งเป็นขั้นตอนปกติของร้านอาหารทั่วไปในยุโรป ต่างจากบ้านเราที่มักจะรอสั่งอาหารหลักก่อนแล้วค่อยสั่งน้ำ

ที่โต๊ะจะมีผ้าคลุมพลาสติก พร้อมถุงมือให้เพื่ออำนวยความสะดวกในการทานโดยใช้มือซึ่งจะทานได้ง่ายกว่า
สำหรับเมนูที่พวกผมทานในวันนั้นค่อนข้างจะหลากหลาย มีทั้ง Grilles Lobster / Lobster ทานกับข้าว / Lobster กับBurger ด้วยความอยากลองไปซะทุกเมนูเลยสั่งจานเด็ดๆของร้านมาเกือบครบ
มารู้สึกตัวและกลับเข้าสู่โลกของความเป็นจริงก็ตอนบิลค่าอาหารมา เพราะมื้อนี้โดนไปทั้งหมด 182 ปอนด์ หรือประมาณเกือบ 8,000 บาท เรียกว่าเห็นค่าอาหารแล้วต้องกวาดตามองของเหลือในจานแล้วบอกกันว่าต้องกวาดให้หมดทุกเม็ดอย่าให้เหลือเชียว

อิ่มกันแล้วพวกผมก็เดินทางไปเที่ยวที่สัญลักษณ์สำคัญของ London และอาจจะเป็นต้นแบบให้เมืองใหญ่หลายเมืองทั่วโลกนิยมสร้างชิงช้าสวรรค์ขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์ของเมืองตามแบบของ London Eye
การเดินทางไป LondonEye สามารถเดินทางไปลงสถานีรถไฟใต้ดินได้หลายสถานีมากทั้งWaterloo / Embankment หรือ Westminster ด้วยความใหญ่ของมันไม่ว่าจะยืนมุมไหนก้ต้องมองเห็นเพราะฉะนั้นไม่ว่ายังไงก็ไม่หลงแน่นอนครับ
ส่วนพวกผมนั้นไปลงกันสถานี Embarkment แล้วก็ข้ามสะพานไป
London Eye หรือ Millennium Wheel
เป็นชิงช้าสวรรค์ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ Thames สร้างขึ้นในปี 1999 และเคยเป็นชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในโลกด้วยความสูง 135 เมตร ก่อนจะโดน Singapore Flyer ของสิงคโปร์ที่สร้างทีหลังแซงไป
London Eye ทำให้คุณสามารถชมวิวทิวทัศน์ของเมืองลอนดอนได้แบบ 360 องศา ได้เห็นสถานที่สำคัญในลอนดอนทั้ง Big Ben, The Tower Bridge, St. Paul’s Cathedralรวมทั้งวิวของแม่น้ำ Thames จนทำให้ปัจจุบันกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก และสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้มากมาย
เนื่องจากช่วงที่ผมไปมีฝนตกลงมาทำให้วันนี้แถวของนักท่องเที่ยวมารอขึ้น London Eye ไม่ยาวนัก แต่ก็น่าแปลกใจที่ตอนที่พวกผมไปซื้อบัตรก็ใช้เวลานานอยู่เหมือนกัน
บัตรสำหรับขึ้น London Eye มีหลายราคา ตั้งแต่แบบ Standard , Fast Track หรือใครอยากจะขึ้นแบบส่วนตัวไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นปะปนก็สามารถซื้อบัตรแบบPrivate Capsules ได้ โดยราคาเข้าชมแบบ standardอยู่ที่ 30ปอนด์ แบบ Fast Track จะอยู่ที่ 40 ปอนด์ ส่วนใครอยากได้ความเป็นส่วนตัวอาจต้องยอมจ่าย 450 ปอนด์คับ
จริงๆแล้วหากคุณต้องการประหยัดเวลา คุณสามารถจองบัตรออนไลน์ก่อนได้ที่ https://www.londoneye.com นอกจากจะช่วยประหยัดเวลาแล้ว ยังได้ส่วนลดด้วยครับ
สำหรับประสบการณ์การขึ้น London Eye ครั้งนี้ของผมถือว่าไม่เลวครับเพราะได้เห็นวิว 360 องศาของกรุงลอนดอนจริงๆ และส่วนตัวผมซึ่งเป็นคนกลัวความสูงก็ไม่ค่อยรู้สึกหวาดเสียวเท่าไหร่ อาจจะเพราะขนาดค่อนข้างใหญ่และการหมุนค่อนข้างไปอย่างช้าๆ ทำให้ไม่ค่อยรู้สึกหวาดเสียว
นอกจากนั้นการที่มันหมุนค่อนข้างช้าโดยใช้เวลาประมาณรอบละ30นาที ทำให้คุณมีเวลาถ่ายรูปมุมต่างๆได้ค่อนข้างครบ เพราะคนในแคปซูลก็จะเปลี่ยนที่กันไปมาตลอดเวลาเพื่อจะถ่ายรูปในมุมต่างๆ



London Eye จะเปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 11.00 น. –18.00 น.ครับ
เสร็จจากลอนดอนอายแล้ว พวกผมก็เดินไปเก็บภาพของรัฐสภาอังกฤษซึ่งเป็นที่ตั้งของหอนาฬิกา Big Ben ที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศอังกฤษมาอย่างช้านาน และรัฐสภานี้ก็อยู่ใกล้กับ London eye มากๆ เรียกว่าแค่ข้ามแน่น้ำไปเท่านั้น
แต่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายครับที่หอนาฬิกา Big Ben ได้ปิดเพื่อบูรณะซ่อมแซมครั้งใหญ่ ซึ่งต้องใช้เวลา 4 ปีทำให้นอกจากพวกผมจะไม่ได้เห็นความงดงามของหอนาฬิกานี้แล้ว คนอังกฤษและนักท่องเที่ยวก็จะไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาดังบอกเวลาจากหอนาฬิกานี้ซึ่งมันได้ทำหน้าที่นี้มา 157 ปีแล้ว ตั้งแต่เริ่มสร้างขึ้นเมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2377
จากข่าวเห็นว่ากำหนดการแล้วเสร็จของการซ่อมแซมน่าจะเป็นปี 2564 เพราะฉะนั้นถ้าคุณอยากเดินทางไปชมความงามของหอนาฬิกาที่อยู่คู่กับรัฐสภาและคนอังกฤษมาอย่างช้านานนี้อีกครั้งก็ต้องรออีกหลายปีเลยครับ
มาเดินถ่ายรูปกันจนอิ่มแล้ว พวกผมก็เดินกลับไปทาง London Eye อีกครั้งเพื่อจะข้ามสะพานกลับไปขึ้นรถใต้ดินที่สถานี Embankmentและใช้รถใต้ดินกลับไปสถานี Paddington กลับโรงแรม
ในระหว่างที่พวกผมกำลังจะข้ามสะพานกลับไปสถานีนั้นก็ได้เวลาที่พระอาทิตย์ตกดินพอดี London Eye จึงเปิดไฟขึ้นทำให้พวกผมได้เห็นมุมที่สวยมากๆของ London Eye และวิวทิวทัศน์โดยรอบที่มีแสงสีให้บรรยากาศที่สวยงามอีกแบบหนึ่ง
ดังนั้นถ้าคุณจะวางโปรแกรมไปเที่ยวลอนดอนอาย อาจจะลองวางโปรแกรมเป็นช่วงพระอาทิตย์กำลังจะตกดินเพราะจะได้ชมความงามของที่นี่ทั้งช่วงกลางวันและกลางคืนซึ่งมีความสวยงามคนละแบบ แต่คุ้มค่าจะไปชมทั้งคู่
วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ผมรู้สึกว่ามันยาวนานมากๆ ได้พบกับประสบการณ์หลากรสใน London ทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดี แต่ก็เป็นประสบการณ์ท่องเที่ยวที่น่าจดจำอีกครั้งหนึง่ในชีวิตจริงๆ
จดหมายฉบับหน้าผมจะพาคุณเที่ยวลอนดอนต่อเป็นวันที่ 2 ส่วนผมจะพาคุณไปที่ไหนบ้างก็รออ่านนะครับ
อยากให้คุณไปอยู่ตรงนั้นด้วยกัน
รักและคิดถึง
Mgastronome
IG : mgastronome_travel
Mgastronome_eat
One thought on “ขับรถเที่ยวอังกฤษ สก็อตแลนด์ Part 14 : Day 8 ลอนดอน 1 ,Buckingham Palace / London Eye / Big Ben”