The ultimate Road trip across UK
London – Scotland – Isle of Skye Part 15
Day 9 London Day 2
Westminster Abbey / St. Paul Cathedral / Tower Bridge / Tower of London / Trafalgar Square / Broadways Musical
ถึง…เธอ
จดหมายฉบับนี้เริ่มเข้าสู่วันที่ 2 ของการท่องเที่ยวในลอนดอน
เนื่องจากเมื่อวานผมผ่านเรื่องราวมากมายหลากหลายประสบการณ์มาทั้งวัน เมื่อกลับมาถึงโรงแรมพวกเราเลยใช้เวลามาพูดคุยถึงเรื่องเหล่านั้นจนดึกดื่นค่อนคืนกว่าจะแยกย้ายกันเข้านอน ดังนั้นในเช้าวันนี้พวกผมจึงตื่นกันค่อนข้างสาย จากที่วางแผนกันไว้ว่าจะไปทานมื้อเช้ากันที่ร้าน The Breakfast Club พวกผมจึงได้เปลี่ยนใจมาทานมื้อเช้ากันที่โรงแรมแทน
อาหารเช้าที่โรงแรมก็ดังที่ผมเคยเขียนมาเล่าให้คุณอ่านในตอน Hyde Park Hotel , London , UK คือเป็นมื้อเช้าที่ไม่มีอะไรมาก โดยหลักๆจะมีไข่ดาว (เปลี่ยนเป็น Omelet ได้) กับขนมปังปิ้งให้คนละ 1 เซต (แม่ครัวจะทำมาให้สดๆหลังจากเรามั่งที่โต๊ะแล้ว)
นอกจากนั้นก็จะมีส่วนของ Buffet มื้อเช้าให้ เช่น ครัวซอง ขนมปัง บิสกิต นม คอนเฟลก น้ำผลไม้ ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่ได้น้อย เพียงแต่ถามว่าอร่อยมั้ย ผมว่าก็พอทานได้ครับ
หลังจากทานมื้อเช้ากันแล้ว พวกผมก็เริ่มออกเดินทางไปท่องเที่ยวกันเลยเนื่องจากวันนี้มีโปรแกรมค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะตอนเย็นที่ทุกคนจะแยกกันไปทำกิจกรรมตามความชอบของตัวเอง
บริเวณโรงแรมของพวกผมจะเป็นตึกแถวเก่าที่ดูสวยแบบยุค Colonial โดยทุกตึกใน Zone นี้เปลี่ยนมาเป็นโรงแรมหมดแล้ว เพราะฉะนั้นระหว่างทางเดินไปสถานี Paddington คุณก็จะเดินผ่านโรงแรมมากมายที่คุณอาจจะคุ้นชื่อตอนเลือกจองโรงแรมแต่อาจจะไม่รู้ว่าโรงแรมแถวนี้คือตึกที่ติดกันหมดเลย
นอกจากนั้นในย่าน Paddington ยังเป็นย่านชุมชนที่มีทั้งร้านอาหาร Fast food ร้านขายของที่ระลึกมากมาย ที่สำคัญอยู่ใกล้สถานี Paddington มากๆ และที่ดีงามขึ้นไปอีกคือภายในสถานีPaddington ก็มีโซนที่เหมือนเป็นห้างสรรพสินค้าย่อมๆ ที่มีทั้งร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ ร้านหนังสือ ร้านดอกไม้ ร้านขนม มากมายเลย เรียกว่าสะดวกจริงๆ
จากสถานี Paddington Station เราใช้เวลาประมาณ 15นาทีไปลงสถานี St. James Park Station จากนั้นก็เดินต่อไปอีกแค่ 200 เมตรก็จะถึงจุดหมายแรกของเราในวันนี้ นั่นคือ Westminster Abbey

ในบริเวณที่คุณขึ้นมาจากสถานี St. James Park Station นี้คุณจะสังเกตุว่าจะล้อมรอบไปด้วยสถานที่สำคัญแบบสุดๆของอังกฤษเลย ทั้ง Westminster Abbey, Buckingham Palace , St. James Park , อาคารรัฐสภาและหอนาฬิกา Big Ben เรียกว่าเป็น Zone ที่ห้อมล้อมไปด้วยสถานที่สำคัญของชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ของอังกฤษเลย
ดังนั้นจากสถานีระหว่างทางคุณจะเห็ตตึกสวยๆ สำคัญๆ มากมาย ซึ่งก่อนที่จะถึง Westminster Abbey คุณจะเดินผ่าน Parliament Square ซึ่งจะมีรูปปั้นบุคคลสำคัญทั้งของอังกฤษและของโลกหลายท่านอยู่ในสวนแห่งนี้
Parliament Square
จัตุรัสรัฐสภาแห่งกรุงลอนดอนได้ถูกสร้างขึ้นในปี 1968 เพื่อเป็นพื้นที่เปิดโล่งที่มีสนามหญ้าสีเขียวขจีเพิ่มความสวยงามให้กับWestminster Palace รวมทั้งทำให้การสัญจรไปมาในบริเวณนี้เป็นไปด้วยความสะดวกด้วย ดังนั้นบริเวณนี้จึงเป็นจุดแรกของอังกฤษที่มีสัญญาณไฟจราจรมาติดตั้ง

ปัจจุบันภายในสวนแห่งนี้ประติมากรรมรูปเหมือนของบุคคลสำคัญมากมาย เช่น วินสตัน เชอร์ชิล รัฐบุรุษและผู้นำคนสำคัญของอังกฤษที่นำพาอังกฤษให้รอดพ้นภัยนาซีในช่วงสงครามโลก หากคุณสนใจผมแนะนำให้ลองหาภาพยนตร์เรื่อง Darkest Hour มาลองชมครับ และจะอินมากขึ้น


นอกจากนั้นยังมีรูปปั้นบุคคลสำคัญอีกหลายท่านเช่น ท่านมหาตมะ คานธี,เบนจามิน ดิสราเอลี ,อับราฮัม ลินคอล์น และเนลสัน แมนเดลา


จาก Parliament Square เดินไปอีกนิดก็จะเห็นด้านข้างของ Westminster Abbey ซึ่งตอนที่ผมไปถึงนั้นก็นักท่องเที่ยวมาเข้าแถวยาวเหยียดรออยู่แล้ว
ก่อนที่จะเล่าถึง Westminster Abbey ผมอยากจะเล่าถึงความแตกต่างของ Abbey กับ Cathedralให้คุณทราบก่อนเพราะคิดว่าคุณอาจจะสงสัยเหมือนกันที่ผมเคยสงสัยมากแล้ว
จากการหาข้อมูล ผมชอบคำอธิบายหนึ่งที่ทำให้เห็นภาพค่อนข้างชัดเจนว่า Abbey จะเป็นลักษณะคล้ายสำนักสงฆ์ในบ้านเรา ขณะที่ Cathedral คือพระอารามหรือโบสถ์สำหรับใช้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งทำให้พอเห็นภาพว่า abbey นั้นมีขนาดเล็กและมีความสำคัญน้อยกว่า Cathedral โดยจะเป็นที่ๆมีทั้งบาทหลวงและแม่ชีอยู่ร่วมกันและสามารถใช้ทำกิจกรรมได้หลายอย่างภายในนั้นนั้น
ในขณะที่ Cathedral จะเป็นโบสถ์หรือวิหาร หรือมหาวิหารที่ใช้สำหรับประกอบศาสนกิจเป็นสำคัญ เป็นที่บูชา และมักมีบาทหลวงสำคัญๆประจำอยู่
Westminster Abbey
เป็นโบสถ์แบบโกธิคที่สร้างขึ้นในปี คศ 616 โดยแต่เดิมมีสถานะเป็นเพียง Abbey (ตามที่ผมอธิบายไปข้างต้น) แต่ปัจจุบันถือเป็นโบสถ์ (Cathedral) ในนิกายแองกลิคัน ใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีราชาภิเษกและที่ฝังพระบรมศพของพระมหากษัตริย์อังกฤษรวมทั้งพระศพของพระบรมวงศานุวงศ์
ระหว่างปี ค.ศ. 1546 ถึง 1556 Abbey ได้รับการเลื่อนฐานะขึ้นเป็นอาสนวิหาร ต่อมาในรัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 Abbeyแห่งนี้ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอารามหลวง (Royal Peculiar)
Westminster Abbey ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การ UNESCO ด้วยเพราะนอกจากที่นี่จะมีความสำคัญต่อราชวงศ์แล้ว ยังเป็นสถานที่ฝังศพบุคคลที่มีชื่อเสียงของอังกฤษ ทั้งกวี นักประพันธ์ นักวิทยาศาสตร์ หลายท่านที่เรารู้จักกันอย่างดี อาทิ Charles Dickens, Geoffrey Chaucer, William Shakespeare ,Charles Darwinฯลฯ

การเข้าชมโบสถ์แห่งนี้สามารถใช้ London Pass ตามที่ผมเคยเขียนเล่าไว้แล้วในตอน ซึ่งทำให้ผมประหยัดเวลาในการไปเข้าคิวซื้อบัตรอย่างมากเพราะแถวค่อนข้างยาวทีเดียว แต่ถึงจะผ่านขั้นตอนการซื้อบัตรไปได้ก็ต้องมาเข้าคิวรอเข้าวิหารอยู่ดีเนื่องจากมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ดังนั้นทางโบสถ์จะให้เข้าไปชมเป็นรอบๆ โดยด้านในนั้นห้ามถ่ายรูปทั้งสิ้น

แต่เมื่อชมด้านในและออกมาด้านนอกแล้ว ก็มีมุมสวยๆเหมือนกัน Zone นี้ผมไม่แน่ใจว่าห้ามถ่ายภาพหรือไม่เพราะไม่เห็นป้ายห้าม และมีนักท่องเที่ยวถ่ายรูปกันค่อนข้างเยอะก็เลยถ่ายมาให้คุณดูบ้าง
จาก Westminster Abbey พวกผมก็เดินย้อนกลับขึ้นไปหน้ารัฐสภาอังกฤษ ไปยังสะพานบริเวณ London Eye ที่พวกเราได้มาแล้วเมื่อวาน แต่วันนี้มีความแตกต่างไปอย่างมากเนื่องจากวันนี้เรามายังจุดนี้ในเวลากลางวันทำให้เราต้องเดินฝ่าฝูงชนและนักท่องเที่ยวแบบล้นหลามเพื่อจะไปยังสถานีรถใต้ดินWestminster Station เพราะผมจะขึ้นรถจากสถานีเพื่อไปยังสถานี Mansion House ที่อยู่ใกล้จุดหมายต่อไปของพวกผมคือโบสถ์ St. Paul มากที่สุด


St Paul’s Cathedral หรือ อาสนวิหารนักบุญเปาโล
เป็นอาสนวิหารของคริสตจักรแห่งอังกฤษ และเป็นโบสถ์ประจำตำแหน่งบิชอปแห่งลอนดอน สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่นักบุญเปาโลโดยมหาวิหารที่เห็นในปัจจุบันสร้างขึ้นในศตวรรษที่17และเชื่อกันว่าเป็นอาสนวิหารที่ 5 ตั้งแต่เริ่มสร้างอาสนวิหารแห่งนี้กันมา
ที่ตั้งของอาสนวิหารปัจจุบันกล่าวกันว่าเคยเป็นที่ตั้งของ Stone Circle ซึ่งเป็นศาสนสถานเพื่ออุทิศให้เทพีไดอาน่า ซึ่งตั้งตรงกันข้ามกับวิหารของเทพอพอลโลที่ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ Westminster Abbey
มหาวิหารแห่งนี้ได้ถูกสร้างและถูกทำลายมาหลายครั้ง แต่ก็จะมีการสร้างใหม่และถูกทำลายไปอีกด้วยภัยสงคราม การเมืองและแม้กระทั่งไฟคราวที่เกิดมหาอัคคีภัยในลอนดอน จนมีการตัดสินใจสร้างโบสถ์ใหม่ทั้งหมดอีกครั้งในรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบบาโรกโดยสถาปนิกชื่อดังของอังกฤษคือSir Christopher Wren ซึ่งโบสถ์แห่งนี้จะเป็นที่ฝังศพบุคคลสำคัญต่างๆของอังกฤษและไว้จัดพระราชพิธีต่างๆ
ภายนอกด้านหน้าจะมีอนุสาวรีย์ของ Queen Victoria รวมทั้งจะมองเห็นรูปปั้นของ St. Paul อยู่ด้านบนของโบสถ์และรูปปั้นของนักบุญเจมส์และปีเตอร์ทั้ง 2 ข้าง นอกจากนั้นยังมีระฆังที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอังกฤษที่หนักเกือบ 17 ตันโดยจะมีการสั่นระฆังทุกวันอาทิตย์เวลาระหว่าง 9:45 – 10:15 น., 11.00 -11.30 น. และ 14:40 – 15.10น.
ภายในวิหาร St. Paul จะดูสวยงาม คลาสสิคและยิ่งใหญ่มาก โดยสีสันที่ใช้จะเห็นเป็นสีขาวทอง โดยคุณสามารถขึ้นไปชมความงามด้านในของวิหารแห่งนี้จากบนที่สูงเพราะทางวิหารจะมีบันได 528 ขั้นเพื่อเดินขึ้นไปด้านบน เรียกว่าขึ้นกันได้เหงื่อ

เมื่อขึ้นไปแล้ว ทางด้านบนจะเป็นทางเดินเป็นวงกลมให้คุณมองลงมาด้านล่างได้ ซึ่งสำหรับคนกลัวความสูงแบบผมถือว่าหวาดเสียวมากๆ เรียกว่าต้องเดินชิดแนวกำแพงตลอด ไม่สามารถเดินออกไปชิดที่กั้นระเบียงได้

จากทางเดินวงกลมตรงนี้ คุณยังสามารถเดินขึ้นไปด้านบนได้อีก แต่บันไดก็จะน่ากลัวขึ้นไปอีก โดยด้านบนจะเห็นมุมที่สูงขึ้นและมองเห็นด้านนอกวิหารได้ ที่ผมเล่าให้คุณฟังตรงนี้ ผมไม่ได้ขึ้นไปเองหรอกครับ เพราะอย่างที่บอกว่าผมค่อนข้างกลัวความสูง ไม่สามารถขึ้นไปต่อได้จริงๆ ทั้งหมดที่เล่าเป็นคำบอกเล่าจากเพื่อนๆ คับ ส่วนผมนั้นลงไปนเดินชมความงามด้านล่างแทน
จากมหาวิหาร St. Paul พวกผมก็เดินออกมาเพื่อที่จะใช้สะพานที่มีชื่อเสียงมากในแง่สถาปัตยกรรมสะพานหนึ่งในLondon นั่นคือสะพาน Millennium Bridge
สะพาน Millennium Bridge
เป็นสะพานคนเดินข้ามแม่น้ำThames ที่เชื่อมระหว่างมหาวิหาร St.Paul และหอศิลป์ Tate Modern เป็นสะพานรูปทรงทันสมัยโดยมีชื่อเรียกเต็มๆ ว่า London Millennium Footbridge เริ่มสร้างในปีค.ศ.1998 และแล้วเสร็จในปี 2000
สะพานนี้ยาว 325 เมตร กว้าง 4 เมตร ขึงด้วยเหล็กสลิงเส้นใหญ่ 8 เส้น สามารถรับแรงดึงน้ำหนักได้กว่า 2,000 ตัน เป็นสะพานทำให้คุณสามารถเห็นสถานที่สำคัญที่อยู่รายล้อม โดยเฉพาะโบสถ์ St. Paul ที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามที่จะทำให้เราเห็นความ contrast ของศิลปะสถาปัตยกรรมแบบเก่าและใหม่
บนสะพาน Millennium Bride จะทำให้คุณเห็นวิวสวยๆทั้ง 2 ฝั่งเลยครับ

จากสะพาน Millennium Bridge พวกผมเดินตามริมน้ำไปเรื่อยๆ เพื่อไปยัง Tower Bridge โดยดูเหมือนไม่ไกลแต่ก็เดินโดยใช้เวลาระยะหนึ่งเหมือนกัน แต่คุณไม่ต้องกลัวจะเหนื่อยนะครับเพราะระหว่างทางจะมีอะไรให้คุณเดินดูไปเรื่อยๆตลอดทางเลย
จุดแรกที่คุณจะเดินผ่านซึ่งห่างจากสะพานMillennium Bridgeไม่เท่าไหร่ก็คือ…
Shakespeare’s Globe Theatre
สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1599 โดย “คณะละคร Lord Chamberlain’s Men ซึ่งเป็นคณะละครของวิลเลียม เชคสเปียร์ กวีและนักประพันธ์ชื่อดังระดับโลกชาวอังกฤษ โรงละครแห่งนี้เป็นโรงละครที่มีชื่อเสียงมากๆ แต่เมื่อการดูละครค่อยๆลดความนิยมลงโรงละครแห่งนี้ก็ต้องปิดตัวในปี ค.ศ. 1642
โรงละครที่เห็นในปัจจุบันนั้นเป็นโรงละครที่สร้างขึ้นใหม่ตามแบบโรงละครดั้งเดิม และใช้ชื่อ “วิลเลียม เชคสเปียร์” มาเป็นชื่อของโรงละครโดยได้เปิดให้เข้าชมครั้งแรกในปี ค.ศ.1997
จากโรงละครพวกผมก็เดินโดยยึดแนวริมน้ำไปเรื่อยๆ โดยอาจจะต้องหลีกไปเดินถนนด้านในบ้างเนื่องจากบางจุดจะมีตึกขวางอยู่แต่สุดท้ายเส้นทางก็จะพาคุณกลับไปยังริมน้ำเหมือนเดิม โดยระหว่างทางจะมีอะไรให้คุณดูหลายอย่างเลยครับ รวมทั้งมีที่ให้แวะ shopping ด้วย



เมื่อออกมาริมแม่น้ำแล้ว คุณจะเห็น Tower Bride ได้อย่างชัดเจนและเหมาะแก่การถ่ายรูปมากๆ โดยฝั่งตรงกันข้ามคุณจะมองเห็น Tower of London ได้ทั้งหมดด้วย




พวกผมถ่ายรูป Tower Bridge จนพอใจแล้ว พวกเราก็เดินขึ้นไปบนสะพานเนื่องจากตรงกลางของสะพานจะมีทางขึ้นไปชมTower Bridge ด้านบนซึ่ง ณ จุดนี้ บัตร London Pass มีประโยชน์มากเพราะจะมีการกันทางเข้าอีกทางสำหรับคนที่มีบัตร London Pass เลย ทำให้พวกผมไม่ต้องเสียเวลาไปต่อคิวซึ่งตอนนั้นยาวมากๆๆๆ
Tower Bridge
เป็นรูปแบบของสะพานที่เป็นทั้งสะพานยกและสะพานแขวนอยู่ในสะพานเดียวกัน สร้างขึ้นในระหว่าง ค.ศ. 1886-1894เพื่อเป็นสะพานข้ามแม่น้ำเทมส์ เนื่องจากสะพานแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้กับหอคอยแห่งลอนดอน จึงเป็นที่มาที่ทำให้สะพานแห่งนี้ถูกเรียกว่า Tower Bride และกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งหนึ่งของกรุงลอนดอนมาจนทุกวันนี้
สะพานแห่งนี้ถูกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิค ประกอบด้วยหอคอย 2หอ ซึ่งเชื่อมต่อเข้าด้วยกันกับทางเดินคู่ขนานด้านบน
สำหรับักม่องเที่ยวจะมีลิฟท์ให้เราขึ้นไปด้านบนซึ่งจะต้องไปเดินต่อเพื่อชมนิทรรศการที่เล่าถึงประวัติการก่อสร้างสะพานแห่งนี้โดยเดินขึ้นไปเป็นชั้นๆ จนถึงชั้นบนสุดที่เป็นทั้งจุดชมวิวเมืองลอนดอน และยังมีกระจกใสที่พื้นที่ให้เราเดินผ่านเพื่อสร้างความน่าตื่นเต้นด้วย

จาก Tower Bridge พวกผมก็เดินข้ามสะพานไปยังฝั่งตรงกันข้ามเพื่อเข้าไปชม Tower of London

หอคอยแห่งลอนดอน หรือ Tower of London
เป็นพระราชวังหลวงและป้อมปราการที่สร้างโดยพระเจ้าวิลเลียมที่ 1 แห่งอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1078 โดยเป็นสถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์
ตัวหอคอยใช้เป็นป้อม และพระราชวังของพระมหากษัตริย์ รวมทั้งเป็นที่กุมขังนักโทษโดยเฉพาะนักโทษที่เป็นเชื้อพระวงศ์หรือมียศสูงๆ เช่นพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 1ก็เคยทรงถูกจำขังในหอคอยโดยพระราชินีนาถแมรี นอกจากใช้เป็นที่กุมขังแล้วยังใช้เป็นสถานที่สำหรับประหารชีวิตด้วย เช่น Anne Boleyn พระมเหสีของพระเจ้าวิลเลี่ยมที่ 8 (แม่ของพระราชินีอลิซาเบธ), Catherine Howard คือ พระมเหสีคนที่ห้าของ พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8, Lady Jane Grey พระราชนัดดาใน พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ,พระเจ้าเอ็ดวาร์ดที่ 5 ของอังกฤษ และเจ้าชายริชาร์ด ดยุกออฟยอร์ก ที่เป็นน้องชาย ต่างก็ถูกประหารที่นี่
Tower of London ยังถูกใช้เป็นคลังเก็บอาวุธ ท้องพระคลัง สวนสัตว์ โรงกษาปณ์หลวง หอเก็บเอกสาร หอดูดาว จนกระทั่งปีค.ศ. 1303 หอคอยแห่งลอนดอนได้กลายเป็นที่เก็บรักษามงกุฏและเครื่องราชาภิเษกของสหราชอาณาจักร

เมื่อเข้าด้านใจจะเห็นอาคารหนึ่งที่อยู่ตรงกลางนั่นคือ หอคอยขาว (White Tower) โดยพระเจ้าวิลเลียมที่ 1 สร้างอาคารหลังนี้เป็นแห่งแรก ปัจจุบันใช้เป็นที่จัดแสดง อาวุธโบราณ และเสื้อเกราะ นอกจากนั้นด้านในของ White Tower ยังมีโบสถ์ Saint John’s Chapel ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1080 เพื่อใช้ประกอบพิธีทางศาสนาของราชวงศ์และใช้ชำระร่างกายก่อนทำพิธีพระราชพีธีบรมราชาภิเษก โบสต์แห่งนี้ถือว่าเป็นโบสถ์เก่าแก่ที่สุดในลอนดอน

Highlight ของการมาชมสถานที่แห่งนี้คือนอกจากจะได้ชื่นชมความสวยงามยิ่งใหญ่ของตัวพระราชวังแล้ว ที่นี่ยังมีพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรักษาของมีค่าของราชวงศ์อังกฤษเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นมงกุฎเพชร เครื่องราชาภิเษก ชุดอัศวินสมัยโบราณ นอกจากนั้นยังมีลานประหารชีวิตพร้อมอาวุธ ที่ใช้ในการประหารชีวิตพระนางแอน โบลีน จริง ๆ
ส่วนที่จะเห็นนักท่องเที่ยงมาต่อคิวค่อนข้างยาวก็คืออาคารของโรงทหารวอเตอร์ลู (Waterloo Block) ที่ใช้เป็นสถานที่เก็บของมีค่าต่างๆ ของราชวงศ์ เช่น มงกุฏ ดาบ คทา ภาชนะที่ทำจากเงินและทองในงานพระราชพิธี เป็นต้น
หลังจากชมสิ่งต่างๆและเสพย์ประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจของ Tower of London จนพอประมาณแล้ว คณะของเราก็ได้เวลาต่างคนต่างต้องแยกย้ายไปทำกิจกรรมที่ตนเองสนใจ เนื่องจาก London ยังมีอะไรที่น่าสนใจอีกมาก แต่เนื่องจากเวลาที่มีจำกัดทำให้พวกผมไม่สามารถไปเที่ยวหรือไปทำกิจกรรมที่น่าสนใจทั้งหมดพร้อมๆกันได้ พวกเราจึงคุยกันว่าวันนี้พวกเราจะมีช่วงเปิดอิสระให้ทุกคนไปทำกิจกรรมหรือไปสถานที่ๆตนเองสนใจ
ในส่วนของผมเนื่องจากเป็นคนที่ชื่นชอบละครเวทีอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสมาถึงต้นตำหรับ Broadways Musical ของโลกแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่อยากจะไปสัมผัสละครเวทีแบบ Original บ้าง โดยผมเลือกไปชมละครเวทีระดับตำนานของโลกนั่นคือ Les Miserable

สำหรับการไปชมละครเวทีครั้งนี้ผมได้จองบัตรมาล่วงหน้ามาจากเมืองไทยแล้ว เนื่องจากละครเวทีนั้นเป็นกิจกรรมที่ยังเป็นที่นิยมของคนอังกฤษ รวมทั้งนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเดินทางมาถึงที่นี่ก็มักจะหาเวลาไปดูละครเวที Broadways กันด้วยทำให้ตั๋วค่อนข้างจะเต็มเร็ว การมาเสี่ยงจองเอาดายหน้าอาจจะพลาดชมละครเวทีดีๆไปก็ได้
ผมใช้ https://www.delfontmackintosh.co.uk ในการจองบัตรในครั้งนี้ เนื่องจากมีจะโปรโมชั่นพิเศษๆให้ตลอด โดยระหว่างการจองบัตร เมื่อเข้าไปดูที่นั่งในแต่ละ Zone จะมีสีบอกราคาที่นั่งแต่ละราคา โดยบางครั้ง Zone ที่นั่งราคาแพงอาจจะมีสีที่นั่งราคาถูกมาให้เลือกด้วย โดยเฉพาะที่นั่งที่อาจจะเหลือที่เดียว ดังนั้นถ้าคุณไปกันหลายคนและไม่ซีเรียสที่ต้องนั่งแยกกัน การมองหาที่นั่งแบบนี้ก็น่าสนใจนะครับ

สำหรับผมตอนนั้นก็ใช้วิธีนี้ทำให้ได้ที่นั่งแถว N ซึ่งก็ถือว่าไม่ไกลเวทีมากและค่อนข้างอยู่ตรงกลางมาในราคา 92.25 ปอนด์ หรือประมาณ 3,800 กว่าบาท ทั้งๆที่ที่นั่งแถบนั้นอยู่ประมาณ 120 ปอนด์ขึ้นไปหรืออาจจะขึ้นไปถึง 170 ปอนด์เลย
เมื่อเราจองบัตรและชำระเงินเรียบร้อยแล้ว ทางเวบก็จะส่งอีเมล์ที่จะให้เรา Print ไปเป็นหลักฐานในการรับบัตรล่วงหน้า ซึ่งในกรณีผม เนื่องจากตอนที่ผมไปทาน Burger and lobster ร้านอาหารก็อยู่แถวๆ Queen Theater ซึ่งเป็นโรงละครที่ผมต้องไปชมอยู่แล้ว ผมจึงไปรับบัตรมาล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าคุณไม่สะดวกไปรับล่วงหน้าก็ต้องไปรับบัตรอย่างน้อย 1 ชั่วโมงล่วงหน้านะครับ

แต่ก่อนที่จะไปชมละครเวที ผมยังมีเวลาเหลืออีกนิดหน่อย ผมจึงตั้งใจจะไปเดินชม Trafalgar Square ก่อนเนื่องจากอยู่ไม่ไกลกับโรงละคร โดยผมได้นั่งรถใต้ดินจาก Tower of London ซึ่งต้องไปขึ้นรถไฟที่สถานี Great Tower Street เพื่อไปลงสถานี Charing Cross จากนั้นก็เดินไปอีกนิดหน่อยเพื่อไปจัตุรัส Trafalgar Square
จัตุรัส Trafalgar Square
จัตุรัสทราฟัลการ์ สร้างขึ้นในปีค.ศ.1830 โดย Sir Charls Beary เป็นอนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ยุทธนาวีทราฟัลการ์และสงครามวอเตอร์ลูระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1805
จัตุรัสนี้จะมีลักษณะเป็นลานกว้าง ตรงมุมของจัตุรัสจะมีฐานของเสาหินทั้ง 4 ซึ่งประกอบไปด้วยอนุสาวรีย์คนขี่ม้า ส่วนอีกสามฐานจะเป็นอนุสาวรีย์ของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 4, เซอร์เฮนรี แฮฟลอค (Henry Havelock) และเซอร์ชาร์ลส์ เจมส์ เนปิแอร์ (Sir Charles James Napier)
ส่วนที่ตั้งอยู่ตรงกลางของจัตุรัส คือ เสาเนลสันซึ่งเป็นเสาปูนสูง 51.5 เมตร รายล้อมไปด้วยน้ำพุอันสวยงาม และรูปแกะสลักสิงโตบรอนซ์ ตรงด้านบนสุดของเสาหิน คือ รูปปั้นของ พลเรือเอก Horatio Nelson ผู้ที่บัญชาการนำในการรบที่สมรภูมิทราฟัลการ์
จัตุรัส Trafalgar ล้อมรอบด้วยอาคารสำคัญมากมาย เช่น ด้านหน้าจะเป็นหอศิลป์แห่งชาติ (National Gallery) ซึ่งตอนนี้ถือเป็น Art Gallery ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีผลงานทางศิลปะสำคัญๆของโลกกว่า 2,300 ชิ้น จากเหล่าศิลปินระดับโลกไม่ว่าจะเป็น แวนโก๊ะ ,ลีโอนาโด ดาวินชี ,ไมเคิล แองเจลโล และคนอื่นๆ อีกมากมาย น่าเสียดายที่ผมมีนัดต้องไปชมละครเวที จึงไม่สามารถเข้าไปดูข้างใน ถ้าคุณมีโอกาสไปลอนดอนและชื่นชอบงานศิลปะ ต้องไม่พลาดที่นี่นะครับ

ด้านตะวันออก จะเป็นโบสถ์ St MartinintheFields และมีทางเชื่อมไปยังห้างสรรพสินค้าและ Admiralty Arch
จุดที่น่าสนใจอีกจุดของจัตุรัสแห่งนี้คือแท่นหินด้านซ้ายตรงบันไดทางขึ้นไปNational Art Gallery จะมีงานศิลปะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาตั้งแสดง เพราะฉะนั้นถ้านักท่องเที่ยวไปคนละช่วงเวลาก็อาจจะได้ภาพมุมนี้ไม่เหมือนกัน
ช่วงที่ผมไปนั้นเป็นงาน Installation ของศิลปินที่ชื่อ Michael Rakowitz ซึ่งได้สร้างสัตว์ในเทพนิยายของชาวอัสซีเรียนในยุคโบราณกว่าพันปีมาแล้วขึ้นมาโดยจำลองมาจากของจริงและใช้กระป๋องไซรับกว่า 10,500 กระป๋องในการสร้าง และที่น่าสนใจคือรูปปั้นสัตว์ในเทพนิยายโบราณนี้ ของจริงได้ถูกทำลายไปแล้วโดยนักรบ Isis ในอิรัก
เมื่อได้เวลาผมก็ต้องรีบเดินไปยังโรงละครQueen Theatre ซึ่งอยู่ใกล้ๆ Trafalgar Square จริงๆแล้วย่านนี้ถือว่าเป็น Zone ใกล้กันหมดคับ ทั้ง Trafalgar Square , China Town และ Piccadilly ถือเป็นย่านที่มีโรงละครรวมตัวกันอยู่เยอะมากๆ โดยโรงละครแต่ละโรงก็จะมีละครที่เป็นแม่เหล็กของตัวเอง เช่น Les Miserable , Phantom of the opera



เมื่อผมไปถึงก็เริ่มมีคนมารอกันหนาแน่นแล้ว ด้านในจะมี Barน้ำและเครื่องดื่มต่างๆ ให้สั่งมาดื่มรอได้ เมื่อใกล้เวลาประตูก็จะเปิดออกให้เราเข้าไปนั่งตาม Zone ที่นั่งของตนเอง และแน่นอน ด้วยมาตรฐานในต่างประเทศละครก็จะเริ่มขึ้นตรงเวลา
สำหรับ Queen Theathe ไม่ได้เป็นโรงละครที่ใหญ่มาก แม้จะมี 3 ชั้น แต่น่าจะเล็กกว่าโรงละครรัชดาลัยในบ้านเรา แต่ต้องยอมรับว่าการตกแต่งภายในนั้นดู Classicได้อารมณ์โรงละครโอเปร่าแบบโบราณซึ่งทำให้ดูขลังมากๆ

ที่นั่งของผมได้แถว N ซึ่งถือว่ากำลังกลางๆ เรียกว่าไม่ไกลหรือใกล้เวทีมาก ดังนั้นถ้าคุณจะจองมาดูละครที่นี่ผมแนะนำแถว K L M N ครับ น่าจะถือว่ากำลังพอดีที่สุด แต่ราคาที่นั่ง Zone นี้ก็อาจจะสูงหน่อย
สำหรับ Les Miserable ต้นฉบับต้องบอกว่าดีเลิศสมคำเล่าลือ ขนาดผมดู version ภาพยนตร์มาแล้วจึงรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกอินและน้ำตาไหลไปกับหลายๆฉากไม่ได้ และที่ผมรู้สึกประทับใจมากที่สุดคือความสามารถของนักแสดงทั้งเรื่องการแสดงและเสียงร้องที่เว่อวังอลังการสมกับเป็นMusical ระดับโลกโดยเฉพาะคนที่เล่นเป็น นอกจากนั้นฉาก แสง สี เสียง นั้นก็สมบูรณ์แบบไปทุกอย่าง จึงไม่แปลกที่ละครเวทีเรื่องนี้ได้แสดงมาแล้วกว่า

ละครเวทีจะมีช่วงพักเบรกประมาณ15นาทีเพื่อเข้าห้องน้ำ หรือมาหาอะไรดื่มกันได้ เพราะในระหว่างการแสดงคงไม่ดีแน่ถ้ามีการลุกเข้าออกเพื่อเข้าห้องน้ำตลอดเวลา เพราะฉะนั้นให้คุณเตรียมตัวให้พร้อมก่อนจะเข้าไปชมด้วยนะครับ โดยแต่ช่วงก่อนพักเบรกและหลังพักเบรกน่าจะมีความยาวประมาณเกือบ 2 ชม
หลังจากอิ่มเอมใจกับละครเวที Broadways แล้ว แต่ท้องมันไม่อิ่มครับ 555 เพราะตั้งแต่แยกกับเพื่อน ผมยังไม่ทานอะไรเลย ส่วนหนึ่งเพราะตั้งใจไว้แล้วว่าอยากจะไปชิมราเมนชื่อดังของลอนดอนหลังจากละครเวทีจบลงซึ่งผมได้เขียนมาเล่าถึงร้านราเมนร้านนี้ให้คุณอ่านอย่างละเอียดแล้วในตอน ร้านราเมนชื่อดังในลอนดอน : Shoryu Ramen
ร้าน Shoryu Ramen เป็นร้านราเมนที่มีชื่อเสียงมากๆ ของลอนดอน โดยเปิดสาขาแรกที่ถนน Regent Street และประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วจนปัจจุบันได้ขยายสาขาไปถึง11สาขาทั่วกรุงลอนดอน และอีก 2สาขาในเมือง Oxford และ Manchester นอกจากนั้นยังได้ขยายสาขาไปที่ต้นกำเนิดของราเมนที่ประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย
ราเมนขึ้นชื่อของร้านนี้คือ Hakata TonkotsuRamen มีวัตถุดิบสำคัญคือเนื้อหมู Hakataซึ่งส่งตรงจากย่านฮากะตะในจังหวัดฟุกุโอกะของญี่ปุ่น
หลังจากละครจบลงแล้ว ผมเดินไปทานราเมนร้านนี้ที่สาขา SOHO ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงละคร Queen โดยเมื่อไปถึงร้านแล้วก็พบว่าร้านนี้เป็นร้านเล็กๆไม่ใหญ่มาก มีคนทานเต็มร้าน รวมทั้งมีคนเข้าคิวอยู่ด้านหน้าพอสมควรแสดงว่าร้านนี้น่าจะมีชื่อเสียงจริงๆ
บรรยากาศภายในร้านดูทันสมัย ไม่ได้เป็นแนวญี่ปุ่นมาก มีแค่เฟอร์นิเจอร์ไม้ที่ให้กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นนิดหน่อย
วันนั้นผมเลือกสั่งเมนูดังของร้านคือ Hakata Ramen ซึ่งหลังจากรองชิมแล้วต้องบอกเลยว่าไม่แปลกใจที่ร้านนี้สามารถขยายสาขาไปทั่วลอนดอนได้เพราะน้ำซุปได้ความอร่อยแบบน้ำซุปหมูจริงๆ ถึงจะเบาบางสู้ร้านดังๆในญี่ปุ่นที่ผมไม่เคยชิมไม่ได้แต่รสชาติขนาดนี้ถือว่าไม่แย่ ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์มาชิมราเมนไกลถึงลอนดอนครับ ถ้าคุณอยากลองราเมนอร่อยๆแบบไกลบ้านผมแนะนำร้านนี้เลย
และเพื่อความฟินที่ยิ่งขึ้นไปอีก ผมได้สั่ง Yakitori ซึ่งก็คือหมูหรือไก่ หรือเนื้อสัตว์อื่นๆเสียบไม้ย่างด้วยเตาถ่านและชุ่มไปซอสแบบญี่ปุ่นมาทานคู่กับเบียร์ด้วย
สำหรับราคาของราเมนที่นี่ก็อยู่ชามละประมาณ13ปอนด์ หรือประมาณ 550 บาท Yakitori จะตกไม้ละประมาณ 3 ปอนด์ ส่วนเบียร์ที่นี่ก็ประมาณ 5ปอนด์ เพราะฉะนั้นมื้อนี้ผมจ่ายไปทั้งหมด 28.57 ปอนด์หรือประมาณ 1,200 บาท
หลังจากทั้งอิ่มใจ และอิ่มท้อง (แต่กระเป๋าโล่งไปเลย 55) ผมก็รีบเดินทางกลับโรงแรมเนื่องจากกว่าจะทานราเมนเสร็จก็ใกล้เที่ยงคืนแล้วซึ่งผมกลัวว่ารถไฟจะหมด รวมทั้งพรุ่งนี้พวกผมต้องตื่นกันตั้งแต่เช้าเพื่อไปชมทุ่งลาเวนเดอร์สีม่วงสุดลูกหูลูกตากัน ผมจึงรีบกลับโรงแรมและเมื่อไปถึงก็รีบเข้านอนเลย
สำหรับเรื่องราวการท่องเที่ยวในวันที่ 2 ในลอนดอนคงทำให้คุณได้ข้อมูลที่มีประโยชน์นะครับ เผื่อวันไหนที่คุณต้องเดินทางไปที่นั้น ข้อมูลที่ผมมาเล่าให้อ่านนี้คงมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย
แล้วพบกันในจดหมายฉบับหน้าซึ่งเป้นวันสุดท้ายของผมในอังกฤษแล้ว รออ่านนะครับ
อยากให้คุณไปอยู่ตรงนั้นด้วยกัน
รักและคิดถึง
Mgastronome
6 May 2019
IG : mgastronome_travel
Mgastronome_eat
One thought on “ขับรถเที่ยวอังกฤษ สก็อตแลนด์ Part 15 : Day 9 ลอนดอน 2 / Westminster Abbey / St. Paul Cathedral / Tower Bridge / Tower of London / Trafalgar Square / Broadways Musical”