ถึง…เธอ
หลังจากจดหมายฉบับที่แล้ว ผมได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับ เที่ยว Kamakura / Enoshima และ Hakone 3 วัน 2 คืนด้วย Hakone Kamakura Pass Part 2 : Hakone Kamakura Pass กับคุณด้วยข้อมูลพอสมควร จดหมายฉบับนี้ก็ได้ฤกษ์ที่ผมจะนำคุณเที่ยวผ่านตัวอักษรไปกับผมในทริปแบบ 3 วัน 2 คืน ณ คามาคูระ เอโนะชิมะ และ ฮาโกเน่
จริงๆแล้วทริปนี้ผมเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นทั้งหมด 5 วัน โดยเดินทางในช่วงปลายมีนาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ดอกซากุระกำลังเริ่มบาน
ช่วงที่ผมเดินทางไปถึงกรุงโตเกียวนั้นคือวันที่ 20 มีนาคมซึ่งดอกซากุระยังบานไม่เต็มที่ ดังนั้นถ้าคุณจะเดินทางไปแถบคันโตหรือกรุงโตเกียวเพื่อไปชมซากุระควรจะเดินทางช่วงสัปดาห์สุดท้ายของมีนาคมถึงต้นเมษายน หรือถ้าให้มั่นใจควรจะเช็คพยากรณ์การบานของดอกซากุระซึ่งจะออกมาทุกปีก่อนออกเดินทาง
เหตุผลสำคัญที่คุณควรจะรู้ว่าพยากรณ์การบานของดอกซากุระล่วงหน้าก่อนเดินทางนั้นเพราะว่าการบานของดอกซากุระนั้นจะไม่ตรงกันทุกปีขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศของปีนั้นๆ และที่สำคัญดอกซากุระจะบานเต็มที่เพียงแค่ 7-10 วันเท่านั้นหลังจากนั้นก็จะเริ่มร่วง ดังนั้นการรู้ช่วงเวลาที่เหมาะเจาะที่ดอกซากุระจะบานจึงมีความสำคัญมาก

นอกจากนั้น มีอีกข้อมูลในทริปนี้ที่ผมอยากจะแจ้งให้คุณทราบล่วงหน้านั้นคือทริปนี้เป็นทริปชวนป๋วยปีแป่กอ หรือทริปลูกกตัญญู 555 เพราะว่าทริปนี้เป็นทริปที่ผมพาคุณแม่ไปเที่ยว ดังนั้นโปรแกรมการเที่ยวหรือการเดินทางต่างๆ อาจจะมีความพิเศษตรงที่ผมจะคำนึงถึงความสะดวกของการเดินทางของผู้สูงอายุเป็นพิเศษ
และด้วยเหตุผลที่ผมแจ้งคุณไว้ในจดหมายฉบับที่แล้วว่าเหตุที่ผมแยกทริป 3 วัน 2 คืน ณ คามาคูระ เอโนะชิมะ และ ฮาโกเน่ ออกมาต่างหากก็เพราะบริษัท Odakyu ได้เพิ่งออก Hakone Kamakura Passออกมาดังนั้นเผื่อคุณมีแผนอยากเดินทางท่องเที่ยวรอบๆโตเกียวแต่ยังไม่รู้จะไปที่ไหนดี โปรแกรมนี้ก็อาจจะเป็นโปรแกรมทางเลือกที่น่าสนใจ

ในการเดินทางของโปรแกรมนี้คุณสามารถเริ่มจากฮาโกเน่ก่อน หรือคามาคุระก่อนก็ได้ แต่คามาคูระและเอโนะชิมะ สามารถเดินทางในวันเดียวกันได้ซึ่งในกรณีของผม ผมเริ่มต้นเดินทางไป คามาคูระ เอโนะชิมะก่อน แล้วกลับมาค้างที่โตเกียว 1 ก่อน จากนั้นจึงเดินทางไปฮาโกเน่ในวันรุ่งขึ้น และไปค้างคืนแช่น้ำแร่ที่ฮาโกเน่ 1คืน
สำหรับโรงแรมที่ผมพักในโตเกียว ผมเคยเขียนมาเล่าให้คุณอ่านแล้วในตอน โรงแรม Centurion Hotel & Spa Ueno Station , Tokyo , Japan ซึ่งเป็นโรงแรมที่ผมอยากจะแนะนำมากๆ เหตุผลสำคัญๆมี 4 ข้อ
- ทำเลดีมากอยู่ใจกลางย่านอุเอโนะ
- การเดินทางจากสนามบินมาสะดวก
- ที่พักและอาหารเช้าดี
- สุดท้ายเป็นความชอบส่วนตัวของผมเองคือมีออนเซนให้คุณไปนอนแช่ได้หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการท่องเที่ยวมาตลอดทั้งวันแล้ว และออนเซนแห่งนี้เปิดเกือบ 24 ชั่วโมง จะปิดทำความสะอาดแค่ช่วง 00 – 12.00เท่านั้น

ในวันเดินทางผมแนะนำให้คุณออกกันเช้าหน่อยเพราะในโปรแกรมคุณต้องไปสถานที่สำคัญถึง 2 สถานที่คือคามาคุระและเอโนะชิมะ
ไม่ว่าคุณจะพักแถวไหน ให้คุณมาตั้งต้นที่สถานีชินจูทางออก West Exit
พอคุณออกมาด้านนอกก็จะเจอทางเข้าสถานีของขบวนรถไฟ Odakyu ถ้าหากคุณไม่มี Pass ก็สามารถซื้อตั๋วจากจุดขายตั๋วด้านหน้าได้ หรือไม่ก็สามารถซื้อ Kamakura Enoshima Pass จากตู้จำหน่ายตั๋วตรงนี้ได้เช่นกัน โดย Pass ตัวนี้จะมีอายุ 1 วัน ในราคา 1,470เยน และสามารถใช้ตั๋วที่ได้มานี้ผ่านช่องสอดตั๋วได้เลย
แต่ถ้าคุณถือ Hakone Kamakura Pass ต้องนำไปยื่นให้เจ้าหน้าที่ในช่องพิเศษโดยต้องแนบPassport เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจเช็คด้วยเพราะชื่อในบัตรต้องตรงกับ Passport เพราะฉะนั้นต้องขอย้ำว่าต้องพก Passport ไปด้วยทุกครั้งนะครับ
กรณีที่เราใช้ Pass ตัวนี้เราจะต้องใช้วิธีเข้าและออกกับช่องทางพิเศษตรงCounter เจ้าหน้าที่สถานีรถไฟเสมอเพราะ Pass ใหญ่มาก จึงไม่สามารถผ่านระบบสอดตั๋วอัตโนมัติได้
จากสถานีชินจูกุให้คุณนั่งรถไฟสาย Odakyu ไปลงยังสถานี Fujisawa เพื่อเปลี่ยนรถไฟไปยังคามาคูระ
เมื่อเข้าไปแล้วให้มองหาขบวนรถไฟโดยมีจุดหมายที่สถานี Fujiwaraซึ่งจะอยู่ด้านขวา แต่ก่อนจะขึ้นให้ลองดูประเภทของรถไฟก่อนนะครับ เพราะมีรถไฟหลายขบวนที่ไป Fujiwara เหมือนกันแต่ใช้เวลาต่างกัน โดยรถของ Odakyuจะแบ่งเป็น 4 ระดับคือ
– Romance Car รถด่วนพิเศษที่จะวิ่งตรงไปสถานีปลายทาง
– Limited Express จะจอดเฉพาะสถานีใหญ่ๆ
– Rapid Express จะจอดเฉพาะสถานีที่มีการเชื่อมต่อกับรถไฟสายสำคัญสายอื่น ๆ
– Localคือรถหวานเย็นที่จะจอดทุกสถานี
เพราะฉะนั้นคุณสามารถเลือกได้ว่าจะขึ้นขบวนไหน เพราะบางครั้งรถบางขบวนอาจจะออกทีหลัง แต่อาจจะไปถึงก่อนก็ได้

เมื่อคุณนั่งรถไฟถึงสถานี Fujisawa ให้คุณเดินไปและผ่านจุดตรวจตั๋วขาออก จะเห็นว่างทางซ้ายจะมีบันไดขึ้นไปสถานี JR บนชั้น 2 ให้ขึ้นบันไดนั้นไปเลยครับ



เมื่อขึ้นไปแล้วจะเห็นทางเข้าสถานี JR ด้านหน้า ให้คุณเดินเลี้ยวไปฝั่งตรงกันข้ามกับทางเข้าสถานี JR จะมีทางเดินยาวไปจนเจอรั้ว ให้คุณเลี้ยวขวาไปตามป้าย Enoden Line


เมื่อเลี้ยวขวามาแล้วจะเจอทางเดินเหมือนสะพานลอย สังเกตว่าเสาตรงกลางจะมีป้านสีเขียวชี้ไป Enoden Line ให้เดินไปเรื่อยๆ
เดินไปจนสุดทางจะเจอทางเข้า Odakyu Gate กับ Enoden Line ขอให้คุณเดินทางไปทางป้าย Enoden Line (สีเขียว) จะเป็นทางเบี่ยงไปด้านขวา
ถ้าคุณเดินทางถูกต้องจะต้องเจอทางเข้า Enoden Line ซึ่งถ้าคุณมี Pass อยู่แล้วก็ยื่น Pass ให้เจ้าหน้าที่เลยครับ แต่ถ้าไม่มี Pass ก็ต้องซื้อตั๋วตรงจุดนี้ก่อนเข้าไป
เมื่อเข้าไปแล้วคุณจะเจอกับจุดรอขึ้นรถ ซึ่งถ้าคุณไปเจอจังหวะดีๆแบบผมที่ยังไม่มีใครยืนรอคิว ผมแนะนำให้คุณไปยืนรอที่แถวแรกสุดเลยครับ เพราะตู้รถไฟตู้แรกจะมีเก้าอี้ให้นั่งประมาณ 2 แถว ดังนั้นถ้าคุณมีผู้สูงอายุไปด้วยก็จะมีที่นั่งให้ และที่นั่งตรงนี้จะเป็นที่นั่งแบบหันหน้าตรง ให้ได้หันเข้าหากันเหมือนในขบวนรถไฟปกติ ทำให้คุณสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ทั้งด้านหน้า ด้านข้างได้ชัดเจน
เมื่อมีรถไฟมาแล้วก็ขึ้นไปนั่งได้เลย จะเห็นว่าตรงที่นั่งตรงนี้จะใกล้ชิดกับพนักงานขับรถไฟแบบสุดๆ
สายรถไฟ Enoden สายนี้จะมีความพิเศษตรงที่เป็นสายรถไฟที่ใกล้ชิดกับบ้านเรือนประชาชนกับชุมชนที่วิ่งผ่านที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น
ระหว่างนั่งรถไฟบางจุดคุณจะเห็นว่ารถไฟแทบจะเบียดกับรั้วบ้านเลยทีเดียว

แถมเวลาผ่านย่านชุมชนจะเห็นผู้คนเดินช็อปปิ้งขนานไปกับรถไฟ รวมทั้งรถที่วิ่งไปมาก็ชิดกับขบวนรถมากๆ เรียกว่าห่างกันไม่กี่เซนติเมตรแค่นั้น
เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของรถไฟขบวนนี้ที่หาชมจากที่อื่นไม่ได้


การนั่งรถไฟขบวนนี้ไปคามาคูระจะผ่านเอโนะชิมะก่อนนะครับ แต่ผมตัดสินใจไปปลายทางที่คามาคูระก่อน แล้วค่อยกลับมาเที่ยวเอโนะชิมะตอนท้ายเพื่อชมพระอาทิตย์ตกดินที่นี่

การจะไปชมพระใหญ่ไดบุทสึที่คามาคุระ คุณจะต้องไปลงที่สถานี Hase
เมื่อออกจากสถานีแล้วให้เลี้ยวขวา แล้วเดินไปเรื่อยๆ ระหว่างทางก็มีโน่นั่นนี่ให้ดูมากมาย
เดินไประยะหนึ่งผมก็ถึงทางเข้าวัด Kotoku-in ซึ่งเมื่อเข้าไปในวัดแล้วจะเจอกับจุดซื้อตั๋วในราคา 200 เยน



วัด Kotoku-in
วัด Kotoku-in เป็นวัดที่มีหลวงพ่อโตที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ถือเป็นอีกสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่น
องค์พระโต หรือพระอมิตาพุทธ นิโอยุราอิ (Amida Nyoyurai) สร้างด้วยโลหะสำริดสีดำทั้งองค์ มีอายุเกือบ 800 ปี แต่ปัจจุบันคุณจะเห็นตัวองค์พระมีสีเขียวทั้งองค์เพราะการทำปฏิกิริยาระหว่างสำริดกับลมทะเลที่มีความเค็มทำให้เกิดสนิมสีเขียวขึ้นทั้งองค์พระกลายเป็นความสวยงามที่เป็นเอกลักษณ์ของพระโตที่นี่
เมื่อแรกสร้างวัด องค์พระโตถูกสร้างให้อยู่ในวิหารหลักขนาดใหญ่ แต่เพราะเมืองคามาคูระต้องเจอภัยพิบัติต่าง ๆ ทั้งสึนามิและแผ่นดินไหวหลายครั้งทำให้ตัววิหารหลักพังเสียหายแต่ว่าองค์พระโตกลับไม่เป็นอะไรเลย ที่สำคัญหลังจากที่องค์พระอยู่กลางแจ้งโดยไม่มีวิหารครอบ เมืองคามาคูระกลับไม่เคยเกิดภัยพิบัติใด ๆ อีกเลย เป็นความมหัสจรรย์ที่หาคำอธิบายไม่ได้ครับ
องค์พระโตมีชื่อเสียงในเรื่องการให้โชคด้านการมีลูก ชาวญี่ปุ่นจึงนิยมมาขอลูกที่นี่ และเมื่อได้สมใจแล้วก็จะพาลูก ๆ มากราบหลวงพ่อโตอีกครั้ง
ด้านในองค์พระโต สามารถเข้าไปชมได้ด้วยนะครับ โดยเสียค่าใช้จ่ายเพียงแค่ 20 เยน
นอกจากองค์พระโตแล้ว สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยยังมีกลุ่มต้นสน ที่บางคนเรียกกันว่า “กลุ่มสนจักรี” เนื่องจากมีพระมหากษัตริย์ของราชวงศ์จักรีของไทยได้เสด็จมาทรงปลูกต้นสนเหล่านี้ไว้ถึง 3 พระองค์ ดังนี้
– ต้นแรก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปลูกในปี ค.ศ. 1902
– ต้นที่สอง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ทรงปลูกในปี ค.ศ. 1931
– ต้นที่สาม พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 เสด็จมาทรงปลูกไว้เมื่อครั้งยังทรงเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ สยามมกุฎราชกุมารในปี ค.ศ. 1987
ตอนที่ผมไปวัดแห่งนี้ เริ่มมีดอกซากุระบานบ้างแล้ว ถ้าไปช่วงที่บานเต็มที่คงจะสวยมากๆ
จริงๆแล้วนอกจากจากวัด Kotoku-in ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆในเมืองคามาคุระอีก แต่เนื่องจากอย่างได้บอกกับคุณตั้งแต่ต้นครับว่าทริปนี้เป็นทริปผู้สูงอายุจึงไม่เหมาะกับการเดินเยอะ ผมจึงไม่ได้ไปอีกหลายสถานที่
ถ้าคุณสนใจจะท่องเที่ยวในสถานที่อื่นๆแถบนี้ก็จะมี…
วัด Hase Dera
เป็นวัดที่อยู่ไม่ไกลจากวัด Kotoku-in โดยสามารถเดินไปได้เป็นวัดที่ประดิษฐานของเจ้าแม่กวนอิม11 เศียร แกะสลักด้วยไม้ขนาดสูงประมาณ 9 เมตร โดยต้องขึ้นบันไดไปบนภูเขาหลายขั้นพอสมควร (เป็นเหตุผลที่ผมไม่ได้พาคุณแม่ไป) นอกจากองค์เจ้าแม่กวนอิมแล้ว วัดแห่งนี้ยังขึ้นชื่อเรื่องสวนญี่ปุ่นที่สวยงามมากๆด้วย


ศาลเจ้าทสุรุกะโอกะ ฮะจิมังงู (Tsurugaoka Hachimangu)
คุณสามารถแวะเที่ยววัดและศาลเจ้าต่างๆ ก่อนจะมาที่สถานี Hase เพื่อไปชมองค์พระโตได้โดยการเดินทางมาลงที่สถานี Kamakura ก่อนที่จะไปสถานีHase
เมื่อมาถึงสถานีKamakura ให้เดินออกมาด้านนอก เข้าสู่ถนนคนเดินที่มีเสาโทริอิแดง เป็นสัญลักษณ์และเป็นเส้นทางที่มุ่งหน้าไปสู่ศาลเจ้าที่ศาลเจ้าทสุรุกะโอกะ ฮะจิมังงู (Tsurugaoka Hachimangu)

ศาลเจ้าทสุรุกะโอกะ ฮะจิมังงู เป็นศาลเจ้าชินโตที่มีความสำคัญมากที่สุดของเมือง Kamakura อดีตเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่น สร้างขึ้นโดย Minamoto Yoriyoshi เมื่อปีค.ศ. 1063ต่อมาได้มีการสร้างขึ้นใหม่ให้ใหญ่โตขึ้น และย้ายมายังสถานที่ปัจจุบัน โดยท่านโชกุนคนแรกของคะมะคุระที่ชื่อ Minamoto Yoritomo เมื่อปีค.ศ. 1180เพื่ออุทิศให้กับเทพเจ้าประจำตระกูลมินะโมะโตะ มีชื่อเรียกว่า ฮะจิมัง (Hajiman)
ศาลเจ้าทสุรุกะโอกะ ฮะจิมังงู ไม่เสียค่าเข้าชม / เปิดเวลา 6.00-21.00 น. (เข้าได้ก่อนประตูปิด 30 นาที)

วัดเอ็นคะคุจิ (Enkakuji)
จาก Kamakura ให้ขึ้นรถไฟมาลงที่สถานีKita-Kamakura โดยสถานีนี้ มีวัดและศาลเจ้าสวยๆอยู่มากมายหลายแห่ง โดยวัดเอ็นคะคุจิ (Enkakuji) เป็นวัดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปเที่ยว
วัดเอ็นคะคุจิ เป็นวัดนิกายเซ็นที่มีความสำคัญมากอีกแห่งหนึ่งในบรรดาวัดนิกายเซ็นที่ยิ่งใหญ่ทั้ง5แห่งของคะมะคุระ ถูกสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ.1282โดย Hojo Tokimune ตัววัดตั้งอยู่บนเนินเขาโดยจะมี ประตูซันมง (Sanmon) ตั้งอยู่บริเวณทางเข้า ที่สร้างขึ้นในภายหลังเมื่อปีค.ศ.1783
เมื่อเดินผ่านประตูซันมง จะพบกับวิหารหลัก บุทสึเด็น (Butsuden) เป็นที่ประดิษฐานของ Shaka Buddha พระพุทธรูปโปราณที่แกะสลักจากไม้
ค่าเข้าชมวัด 300เยน / เวลาทำการ 8.30-16.00น.

ทั้งหมดข้างต้นคือสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองคาราคุระเพิ่มเติมหากคุณสนใจจะเดินทางไปชมก็ต้องเพื่อเวลาไว้ด้วยครับเพราะถ้าไปสถานที่ทั้งหมดนี้และจะไปเที่ยวที่เกาะเอโนชิมะด้วยอาจจะไม่ทันใน 1 วัน
สำหรับผมหลักจากชมองค์พระใหญ่แล้วก็ได้เวลาใกล้เที่ยงพอดี ผมจึงตัดสินใจทานมื้อเที่ยงกันที่ร้านอาหารระหว่างเดินกลับไปสถานี Hase เลย
โดยร้านอาหารที่ผมเลือกนั้นเป็นร้านอาหารจีน….ใช่ครับ คุณอ่านไม่ผิดหรอก ร้านอาหารจีน เพราะแม่ของผมเป็นคนที่ไม่ชอบอาหารญี่ปุ่นเอาเสียเลย ดังนั้นการมาญี่ปุ่นครั้งนี้ของผมจึงได้ทานอาหารนานาชาติที่หลากหลายมาก ทั้งจีน อินเดีย เกาหลี แต่ยกเว้นอาหารญี่ปุ่น 5555
ที่จริงแล้ว หากใครเป็นคนที่ทานยากและไม่ชอบอาหารญี่ปุ่น ร้านอาหารที่ผมไปทานร้านนี้ถือว่าไม่เลวเลยครับทั้งรสชาติและความคุ้มค่า
โดยร้านนี้จะมีอาหารทั้งแบบสั่งแยกและแบบเซต ซึ่งผมอยากแนะนำให้สั่งมาเป็นเซตยิ่งมากันหลายคน ยิ่งมีอาหารที่หลากหลายและเอามาทานร่วมกันได้ เพราะทุกคนจะมีข้าวและซุปเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว
ในวันนั้นอาหารเซตที่ผมสั่งจะมีผัดเปรี้ยวหวาน ผัดหน่อไม้ ผัดลูกชิ้นน้ำมันหอย ซึ่งขอบอกเลยครับว่าอร่อยทุกอย่าง ยิ่งได้ไข่เจียวมาทานคู่กันด้วยแล้วยิ่งอร่อย
หลังจากตามพลังกันจนอิ่มแล้วพวกผมก็เดินทางกันต่อ โดยเดินกลับไปที่สถานี Hase แล้วยื่นบัตรเบ่ง Hakone Kamakura Pass ให้เจ้าหน้าที่เหมือนเดิม จากนั้นก็เดินข้ามไปรอที่ชานชาลาฝั่งตรงข้ามกับตอนขามา
เมื่อมีรถมาก็ขึ้นไปเลยครับ รถก็จะวิ่งกลับไปทางสถานี Enoshima ที่ผ่านมาแล้วโดยใช้เวลาไม่นานครับเพราะห่างกันไม่กี่สถานีเท่านั้น

หลังจากมาถึงสถานี Enoshima ก็เช่นเดิมครับ สำหรับคนที่มี Pass ต้องไปออกทางออกที่ติดกับป้อมของเจ้าหน้าที่เพราะบัตร Pass ไม่สามารถผ่านเครื่องสอดบัตรได้
หลังจากออกจากสถานีมาแล้ว อย่าลืมมาถ่ายรูปลูกนกน่ารักๆ บนราวกั้นหน้าสถานีนะครับ นกพวกนี้จะมีการแต่งตัวเปลี่ยนไปตามฤดูกาลด้วย ญี่ปุ่นก็ยังคงเป็นญี่ปุ่น คือมีความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเสมอ
หลังจากออกมาจากสถานีแล้วให้เลี้ยวซ้ายเดินขึ้นไปตามถนนเลยครับ โดยถนนสายนี้จะมีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร และร้าน shopping ไปตลอดทางเลย ใครอยากแวะตรงไหนก็แวะได้เลยครับ แต่ผมแนะนำว่าอย่าเพิ่งแวะเพราะร้านรวงบนเกาะนั้นน่าสนใจกว่ามากครับ
ถ้าคุณเดินตรงไปเรื่อยๆ ก็จะเจอกับทางลงอุโมงค์ลอดใต้สะพาน ให้เดินลงไปในอุโมงค์นี้เลยครับ แป๊บเดียวก็จะมาโผล่ตรงสะพานเพื่อข้ามไปยังเกาะ โดยจะมีรูปปั้นมังกรคู่ เนื่องจากเกาะ Enoshima จะมีตำนานเกี่ยวกับมังกร และความรักจึงมีสัญลักษณ์มังกรและความรักเต็มเกาะไปหมด
ที่เกาะแห่งนี้จะมีถ้ำIwate ซึ่งเป็นถ้ำที่มีเรื่องเล่าปรำปราเกี่ยวกับมังกรซึ่งเดิมทีเป็นมังกรที่ดุร้าย ชอบออกมาอาละวาดสร้างความเสียหายให้กับชาวบ้านบนเกาะนี้ จนเทพธิดาบนสวรรค์ต้องออกมาปราบ แต่ด้วยความที่เทพธิดานั้นมีความงดงามเป็นที่ยิ่ง เจ้ามังกรร้ายก็รู้สึกหลงรักเทพธิดาองค์นี้อย่างหมดใจ องค์เทพธิดารับรู้ถึงความรักที่มังกรมีให้จึงได้บอกมังกรว่าถ้ากลับตัวกลับใจ เป็นมังกรที่ดีก็อาจจะรับรักได้ ได้ฟังดังนั้นมังกรร้ายก็กลับตัวกลับใจกลายเป็นมังกรที่คอยช่วยปกป้องคุ้มครอบเกาะแห่งนี้ให้มีแต่ความสงบสุข
ด้วยเหตุนี้เองเกาะแห่งนี้จึงมีชื่อเสียงเรื่องการให้พรด้านความรัก จึงมีนักท่องเที่ยวทั้งโสดทั้งมีคู่เดินทางมาขอพรกันจำนวนมาก
จากรูปปั้นมังกร ผมเดินข้ามสะพานไปโดยใช้เวลาไม่นานนัก ระหว่าทางก็ได้ชมความสวยงามของท้องทะเลไปด้วย สักพักพวกผมก็ข้ามมาถึงตัวเกาะ ซึ่งสิ่งแรกที่เห็นคือเกาะนี้มีนกเหยี่ยวบินวนอยู่เป็นจำนวนมาก
บริเวณนี้จะมีทั้งร้านอาหารมากมายให้บริการ แต่เนื่องจากพวกผมอิ่มท้องกันมาแล้วจึงเดินต่อขึ้นไปบนเกาะโดยต้องลอดผ่านเสาโทริอิสีเขียวเข้าไป
ระหว่างทางขึ้น2 ข้างทางจะมีร้านค้า ร้านอาหารมีอะไรให้ดูเต็มไปหมด ประกอบกับวันที่ผมไปมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวเกาะนี้เป็นจำนวนมาก (ทั้งๆที่เป็นวันธรรมดา) ก็เลยต้องเดินกันแบบเบียดเสียดกันหน่อย
สำหรับใครที่เป็นแฟน Kitty ระหว่างทางจะมีร้านอาหารและของที่ระลึกเกี่ยวกับ Kitty โดยเฉพาะก็ลองไปทานกันได้นะครับ
มาเดินมาจนสุดทางก็จะเจอเสาโทริเอะสีแดงและบันไดทางขึ้นไปศาลเจ้า ซึ่งหากใครไม่สะดวกเดินขึ้น ทางด้านซ้ายมือจะมีบันไดเลื่อนให้บริการโดยแบ่งเป็น 3 ช่วง

ถ้าคุณจะใช้บริการบันไดเลื่อนอย่างเดียวก็ต้องจ่าย 320 เยน แต่ถ้าต้องการเข้าสวนและประภาคารด้วยก็เหมาได้ในราคา 750 เยน
แต่ผมต้องเตือนและแจ้งให้ทราบก่อนนะครับว่าบันไดเลื่อนนี้จะมีแค่ตอนขาขึ้นเท่านั้น ขาลงไม่มี ดังนั้นก็ต้องเดินลงมาเอง เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะพาผู้สูงอายุขึ้นไปเพราะเห็นว่ามีบันไดเลื่อนก็ต้องคำนึงถึงตอนลงมาด้วยนะครับ เพราะต้องใช้การเดินล้วนๆ และเป็นบันไดทั้งหมดด้วย
เมื่อขึ้นบันไดเลื่อนในช่วงแรกจะนำคุณมายังศาลเจ้าEnoshima ซึ่งเป็นศาลเจ้าหลักของเกาะแห่งนี้
บริเวณศาลเจ้าจะวงล้อที่ทำจากฟางข้าวซึ่งชาวญี่ปุ่นเรียกว่า Jinowa (จิโนะวะ) โดยเชื่อกันว่าถ้าลอดบ่วงนี้แล้วก็จะเป็นการล้างบาปทั้งปวงที่ทำไว้ และเมื่อล้างบาปแล้วจึงจะเข้าไปสักการะในศาลเจ้าได้
หลังจากสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาลเจ้าแล้ว ด้านซ้ายของศาลเจ้า Enoshima ก็จะมีหอเทพเจ้าทรงพิณประดิษฐานอยู่ แต่ถ้าคุณต้องการเข้าไปชมด้านในก็ต้องเสียเงินนะครับ
จากศาลเจ้า พวกผมก็เดินไปฝั่งตรงกันข้ามซึ่งเป็นทางลาดลงไปและจะผ่านต้นแปะก๊วยคู่รักที่ตอนนี้ทางศาลเจ้าได้ตัดยอดของทั้งสองต้นออกไป (ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมต้องตัด) โดยปกติต้นแปะก๊วยนี้จะเป็นอีกจุดหนึ่งที่นิยมมาขอพรเรื่องความรักกัน
เมื่อผ่านต้นแปะก๊วยมาแล้ว ผมก็เดินวนมาทางขวาก็จะเจอกับสวนดอกไม้เล็กๆ พอหุถ่ายรูปได้นิดหน่อย
เลยสวนดอกไม้นี่ไป ถ้าเดินต่อไปด้านในก็จะเจอกับจุดชมวิวที่สามารถลงชมวิวของเกาะนี้ได้อย่างสวยงามทีเดียว โดยเฉพาะบริเวณท่าเรือ
บริเวณตรงข้ามสวนดอกไม้ จะมีทางขึ้นบันไดเลื่อนช่วงที่ 2ซึ่งถ้าซื้อบัตรไว้แล้วก็โชว์บัตรใบเดิมได้เลยครับ
บันไดเลื่อนช่วงที่สองจะนำมาที่จุดท่องเที่ยวอีกจุดที่มีศาลเจ้าอีกแห่ง แต่ทางผมตัดสินใจขึ้นบันไดเลื่อนช่วงที่ 3 ต่อเลย เนื่องจากต้องการไปใช้เวลากับประภาคาร Sea Candle ซึ่งอยู่ภายในสวน Samuel Cockin Garden มากกว่า
บันไดเลื่อนช่วงที่ 3 ก็จะนำคุณมายังทางเข้าสวนพอดี ซึ่งถ้าคุณซื้อบัตรเหมาจ่ายราคา 750 เยนมาแล้วก็สามารถเข้าไปได้เลย หรือไม่ก็ต้องมาซื้อตั๋วได้ในราคา 500 เยน ที่จะรวมเข้าค่าเข้าชม Samuel Cockin Garden และ Sea Candle ด้วย แต่ไม่มีการแยกขายนะครับ ราคานี้เหมารวมทั้ง 2 สถานที่ แยกซื้อไม่ได้
เมื่อเข้าไปแล้ว ก็จะมีคาเฟ่เล็กๆน่ารักๆ แบบไปนั่งชมวิวได้ แต่ผมและคณะเดินต่อไปโดยหวังจะเจอสวนดอกทิวลิปแบบที่เห็นในโฆษณาซึ่งปรากฏว่า….ไม่มี
มีแต่ดอกไม้อื่นๆ ไว้พอกล้อมแกล้มเท่านั้น พวกผมจึงเดินผ่านไปแบบเร็วๆเพื่อไปยังประภาคาร Enoshima Sea Candle ซึ่งด้านล่างจะมีลิฟต์ให้บริการด้วย แต่หากใครอยากออกกำลังกายก็สามารถเดินขึ้นไปได้ครับ
ลิฟต์จะนำคุณมายังจุดชมวิว Indoor ก่อน แต่ถ้าคุณต้องการวิวแบบ Open Air ก็สามารถเดินขึ้นบันไดไปอีกชึ้นหนึ่งได้ ด้านบนก็จะเป็นจุดชมวิวแบบเดินวน 360 องศา เลือกได้ว่าจะเอาวิวทะเล หรือวิวเมือง
ตรงจุดนี้ให้ความรู้สึกที่ดีจริงๆครับ โดยเฉพาะใครที่มาที่นี่ช่วงพระอาทิตย์ตกรับรองจะฟินมาก
จริงๆแล้วจากประภาคารถ้าคุณเดินลงมาเรื่อยๆก็จะเจอกับศาลเจ้า Okutsu no Miya ซึ่งเป็นที่ตั้งของถ้ำมังกร รวมทั้งระฆังแห่งความรัก ซึ่งว่ากันว่าถ้าคู่รักไปสั่นกระดิ่งด้วยกันแล้วมาเขียนชื่อตัวเองลงบนแม่กุญแจแล้วล็อคติดกันไว้ก็จะรักกันไปชั่วนิรันดร์เลย
แต่เนื่องจากผมมากับคุณแม่ งานนี้เลยขอบายครับ เพราะไม่มีเหตุผลอะไรจะมาขอพรเรื่องความรักกันตรงนี้ 555 ที่สำคัญตอนนั้นก็เย็นมากแล้ว ผมต้องเผื่อเวลาเดินกลับด้วยครับ เพราะไม่อยากให้มืดลงเสียก่อน
ถ้าคุณมีโอกาสและพอมีเวลาก็แวะไปขอพรได้นะครับ
อย่างที่ผมเล่าไว้ครับว่าที่นี่จะไม่มีบันไดเลื่อนตอนขาลง พวกผมกับคุณแม่เลยต้องเดินลงมากันเอง ดังนั้นกว่าผมจะลงมาจากประภาคารมาถึงข้างล่างแล้วเดินข้ามสะพานกลับไปยังสถานี Enoshima ก็เกือบจะมืดพอดี พวกผมเลยนั่งรถไฟกลับไปสถานี Fujisawaเพื่อต่อรถกลับไปยังสถานี Shinjuku
หลังจากพวกผมเดินกลับถึงโตเกียวที่สถานี Shinjuku แล้ว ผมก็ต่อรถกลับไปยังสถานีอุเอโนะซึ่งโรงแรมของพวกผมอยู่ที่นี่และผมเคยได้เขียนมาเล่าให้คุณอ่านแล้วในตอน โรงแรม Centurion Hotel & Spa Ueno Station , Tokyo , Japan
โดยก่อนที่จะเดินกลับไปโรงแรม พวกผมตัดสินใจหาร้านอาหารที่สถานีอุเอโนะทานกันก่อนซึ่งหวยไปออกที่ร้านอาหารอินเดีย 555 (ก็งงใจเหมือนกันครับ มาญี่ปุ่นแต่ไม่ได้ทานอาหารญี่ปุ่นเลย)
หลังจากอิ่มกันแล้วก็ได้เวลากลับไปพักที่โรงแรม ซึ่งอย่างที่ผมเขียนเล่าไปในตอนต้นว่าข้อดีมากๆ และทำให้ผมติดใจโรงแรมแห่งนี้คือออนเซ็น ที่หลังจากกลับมาเหนื่อยๆ การได้ไปแช่น้ำอุ่นในอ่างน้ำใหญ่ๆ ถือว่าเป็นการผ่อนคลายที่ดีมากๆเลยครับ
แต่ก่อนไปแช่น้ำ พวกผมไม่ลืมที่จะเก็บกระเป๋าใบใหญ่และแยกกระเป๋าใบเล็กออกมาไว้เพราะพรุ่งนี้พวกผมต้องcheck out จากโรงแรมนี้ และจะนำกระเป๋าใบใหญ่ไปฝาก Locker ที่สถานีรถไฟ ส่วนกระเป๋าใบเล็กก็นำไปใช้ระหว่างค้างคืนที่ Hakone กัน 1 คืนซึ่งผมจะเขียนมาเล่าต่อในตอนหน้านะครับ

อยากให้คุณไปอยู่ตรงนั้นด้วยกัน
Mgastronome
23.8.19
One thought on “เที่ยว Kamakura / Enoshima และ Hakone 3 วัน 2 คืนด้วย Hakone Kamakura Pass Part 3 : Day 1 Kamakura / Enoshima”