ถึง…เธอ
ก่อนอื่นผมคงต้องขออภัยที่ผมใช้เวลาหลายวันทีเดียวกว่าที่ผมจะเขียนจดหมายมาเล่าให้คุณอ่านต่อเกี่ยวกับการท่องเที่ยวKamakura / Enoshima และ Hakone
หลังจากที่ผมได้เขียนจดหมายมาเล่าให้คุณอ่านในตอน เที่ยว Kamakura / Enoshima และ Hakone 3 วัน 2 คืนด้วย Hakone Kamakura Pass Part 3 : Day 1 Kamakura / Enoshima แล้ว งานผมก็ค่อนข้างยุ่งมากทีเดียวกว่าจะหาเวลามาเขียนจดหมายถึงคุณได้ก็ใช้เวลานานทีเดียว หวังว่าคุณคงจะไม่ติดใจและให้อภัยกับความล่าช้าในครั้งนี้ของผมนะครับ
เพื่อไม่เป็นการรบกวนเวลาในการอ่านของคุณผมขอเล่าต่อถึงประสบการณ์ในการท่องเที่ยว Kamakura / Enoshima และ Hakoneแบบ 3 วัน 2 คืนกันต่อจากตอนที่แล้วที่ผมได้ใช้เวลาใน1 วันแรกในการท่องเที่ยวใน Kamakura และ Enoshima ก่อน
ในวันนั้นผมกลับมานอนค้างที่โตเกียวที่โรงแรม โรงแรม Centurion Hotel & Spa Ueno Station , Tokyo , Japan ซึ่งเป็นโรงแรมที่ผมชอบมากๆ โดยในคืนนั้นทั้งผมและชาวคณะต่างหลับกันสนิทสุดๆเพราะพวกผมเดินกันค่อนข้างเยอะทีเดียว ร่างกายจึงล้าพอสมควร โชคดีที่โรงแรมนี้มีออนเซนให้แขกที่มาพักได้ไปแช่เพื่อปลดปล่อยความเมื่อยล้าและทำให้รู้สึกสบายตัว ดังนั้นหลังจากที่แช่ออนเซนแล้วกลับมานอนผมก็หลับสนิทจนถึงเช้าเลย
ด้วยความที่ผมเป็นคนที่ชอบออนเซนเป็นพิเศษ เช้าวันต่อมาผมก็เลยรีบตื่นและไปแช่ตัวพร้อมอาบน้ำที่ออนเซนของทางโรงแรมอีกครั้งเป็นการสั่งลา ก่อนที่จะกลับมาแต่งตัวที่ห้องและไปทานอาหารเช้า

ดังที่ผมได้เล่าไว้ในจดหมายเกี่ยวกับโรงแรม Centurion Hotel & Spa UenoStation แล้วว่าอาหารเช้าของที่นี่ถือว่าโอเคเลยทีเดียว ดังนั้นเช้าวันนั้นผมจึงเติมพลังไปแบบอิ่มแปล้ไปเลย
เมื่ออิ่มกันแล้ว พวกผมก็ check out แล้วเดินไปสถานีอุเอโนะซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมเพื่อจะขึ้นรถไฟไปสถานีชินจูกุ แต่ก่อนที่จะไปขึ้นรถ ผมได้นำกระเป๋าใบใหญ่ไปฝากไว้ที่ตู้รับฝากกระเป๋าที่สถานีก่อน จากนั้นผมก็เอาแค่กระเป๋าใบเล็กสำหรับการนอนค้าง 1 คืนซึ่งผมได้แยกไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วไปเพียงใบเดียวซึ่งจะสะดวกกว่ามากเพราะในวันนี้แผนของผมคือผมจะไปท่องเที่ยวที่ Hakone ก่อนจะไป check in ที่โรงแรมในตอนเย็น ดังนั้นการลากกระเป๋าใบใหญ่ไปด้วยคงไม่สะดวกแน่
ผมนั่งรถไฟจากสถานีอุเอโนะไปยังสถานี Shijuku และออกทางประตู West Exit เพื่อไปขึ้นรถไฟไป Hakoneโดยใช้ Hakone Kamakura Pass ที่ผมซื้อไว้ล่วงหน้าแล้วและผมเคยเขียนมาเล่ามาให้คุณอ่านแล้วในตอน เที่ยว Kamakura / Enoshima และ Hakone 3 วัน 2 คืนด้วย Hakone Kamakura Pass Part 2 : Hakone Kamakura Pass ซึ่ง Pass ตัวนี้สามารถใช้ในการท่องเที่ยวทั้ง Hakone / Kamakura และ Enoshima ได้ภายในเวลา 3 วัน
ถ้าคุณมี Hakone Pass อยู่แล้วก็สามารถเอามาใช้ได้เลยซึ่งผมแนะนำให้มาซื้อล่วงหน้าไว้ก่อนเพราะถ้ามารอซื้อวันเดินทาง ถ้าคิวยาวจะเสียเวลาไปเปล่าๆ
จากสถานี Shinjuku ผมก็ใช้ Pass เข้าไปในชานชาลาของขบวนรถ Odakyu เนื่องจากได้จองตั๋วที่นั่ง Ramance Car มาแล้วจากเมืองไทยและได้ออกตั๋วไว้แล้วล่วงหน้าตอนมาซื้อ Hakone Kamakura Pass ผมก็แค่มองหาเวลาเที่ยวรถตามที่ผมจองตั๋วไว้แล้วก็ไปรอขึ้นตามชานชาลาที่ระบุซึ่งจะมีป้าย Digital บอกมาตลอดทางตั้งแต่เข้าสถานีมา


จากสถานีชินจูกุ ผมนั่งรถขบวน Romance Car ยาวไปลงที่สถานีHakoneYumoto Station ซึ่งในขบวนรถจะมีรถเข็นอาหารมาบริการด้วย แม้จะทานอาหารเช้ามาแล้ว แต่ผมก็ตั้งใจมาทานอาหารมื้อพิเศษในขบวนรถนี้โดยชุดอาหารหรือชุดทานเบนโตะที่คุณไม่ควรพลาดคือเบนโตะรูปทรงขบวนรถไฟ ซึ่งคุณสามารถนำกล่องกลับไปเป็นที่ระลึกได้ด้วย แล้วการได้ทานเบนโตะชุดรถไฟนี้บนขบวนรถจริงๆพร้อมกับชมวิวข้างทางไปด้วยเรียกว่าฟินมากจริงๆ



เมื่อถึงสถานี Hakone Yumoto Stationโดยใช้เวลา 90 นาที (ขบวนรถปกติจะใช้เวลา2 ชั่วโมง) ผมก็นำกระเป๋าไปฝากตู้ฝากกระเป๋าหน้าสถานีไว้ก่อนเพราะไม่อยากจะหอบอะไรพะรุงพะรัง จากนั้นผมก็เริ่มเที่ยวใน Hakone ซึ่งเส้นทางท่องเที่ยวใน Hakoneนั้นจะวนเป็นวงกลม จะวนซ้ายหรือวนขวาก็ได้ แต่ก็จะกลับมาที่สถานี HakoneYumoto Stationเหมือนกัน และการท่องเที่ยวที่นี้คุณจะได้ใช้พาหนะที่หลากหลายมากทั้งรถไฟ กระเช้า เรือ รสบัส ตามที่ผมเคยเขียนมาเล่าให้คุณอ่านไว้ในตอน เที่ยว Kamakura / Enoshima และ Hakone 3 วัน 2 คืนด้วย Hakone Kamakura Pass Part 2 : Hakone Kamakura Pass


จากสถานี HakoneYumoto Stationผมเริ่มต้นโดยใช้ Hakone Tozan Train ซึ่งจะวิ่งระหว่างสถานี Hakone-Yumotoกับสถานี Goraโดยจะวิ่งซิกแซกขึ้นไปบนภูเขา และจุดจอดจะอยู่ชานชาลาด้านซ้ายสุดของสถานี คือตรงกันข้ามกับขบวนรถ Romance Car ที่อยู่ขวาสุดเลย ถ้าไม่แน่ใจให้ดูป้ายไฟที่หัวขบวนซึ่งจะขึ้นคำว่า Gora ที่เป็นสถานีปลายทางไว้
ค่าโดยสารจากสถานีHakone-Yumoto ถึงสถานี Gora เป็นเงิน 400 เยนใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที แต่ถ้าคุณมี Hakone Pass หรือ Kamakura Hakone Pass แบบผมก็สามารถขึ้นได้ฟรีทั้งหมด
รถไฟขบวน Hakone Tozan Trainจะวิ่งคดเคี้ยวซิกแซกไปบนเขา ทำให้คุณได้เห็นวิวที่สวยงามไปบนเขาตลอดเส้นทาง
พอขบวนรถไฟเดินทางมาถึงที่สถานี Gora ผมก็ต้องเปลี่ยนมานั่งเคเบิลคาร์หรือรถรางไต่ภูเขาHakone Tozan Cable Carกันต่อ โดยต้องออกมาจากสถานีก่อนแล้วมาเข้าไปส่วนของรถรางไต่ภูเขากันต่อ ซึ่งก็อยู่ติดกันเลยครับ


Hakone Tozan CableCar จะวิ่งไต่ขึ้นเขาเป็นแนวชันจากสถานี Gora ไต่ขึ้นเขาไปที่สถานี Sounzan
ค่าโดยสารจาก Gora ถึง Sounzan คือ 420 เยนใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 นาที และเช่นเดิมถ้าคุณมี Pass ก็โชว์บัตรแล้วขึ้นไปได้เลยครับ ซึ่งจากการสังเกตในทุกจุดที่ต้องใช้ยานพาหนะต่างๆ ถ้าไปซื้อตั๋วตรงนั้นค่อนข้างต้องเข้าคิวยาวเลยทีเดียว ดังนั้นการมี Pass จึงช่วยประหยัดเวลามากเลยทีเดียว
เมื่อนั่ง Hakone Tozan Cable Car ไต่ภูเขาขึ้นมาถึงสถานี Sounzan แล้ว ผมก็ต้องเปลี่ยนไปนั่งกระเช้าHakone Ropeway อีกครั้งเพื่อไป Owakudani สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของ Hakoneและ สถานี Togendaiที่สำหรับไปขึ้นเรือล่องทะเลสาบอาชิ ( Achi Lake)
Hakone Ropeway จะใช้เดินทางจากสถานี Sounzan ข้ามภูเขา Hakoneไปสุดปลายทางที่สถานี Togendai โดยการเดินจะแบ่งเป็น 2 ช่วง
ช่วงแรกจากสถานีSounzan ไปยัง สถานี Owakudani
ช่วงที่สอง จากสถานีOwakudani ไปยังสถานี Togendai
ค่าโดยสารตลอดเส้นทางจากสถานีSounzan ไปสถานี Togendai คือ 1,370 เยนแต่ถ้าคุณจะซื้อแยกกัน ช่วง Sounzan – Owakudani ก็จะมีค่าใช้จ่าย 840 เยน ใช้เวลาประมาณ 10 นาที และจากสถานี Owakudani ไปสถานีTogendaiจะมีค่าใช้จ่าย 1,050 เยน ใช้เวลาประมาณ 16 นาที แต่ต้องเผื่อเวลาเข้าคิวรอขึ้นกระเช้าด้วนะครับ


ผมนั่งกระเช้าช่วงแรกจากสถานี Sounzan ไปยัง สถานี Owakudaniซึ่งระหว่างทาง ยิ่งขึ้นมาบนภูเขา ยิ่งสูงผมก็ยิ่งเห็นชะตากรรมว่าวันนี้ท่าจะไม่ได้เห็นอะไรแน่ๆ เพราะหมอกหนาครอบคลุมไปทุกพื้นที่
จริงๆ ระหว่างทางนั่งกระเช้า คุณจะผ่านสถานี Obaku ซึ่งปกติจะมีการเปิดประตูให้ แต่ถ้าคุณไม่ลงสถานีก็นั่งที่เดิมได้ครับ แต่สถานีเป็นสถานีที่ถ้าคุณพักที่ โรงแรม Hotel Green Plaza Hakone , Japan เหมือนผม คุณก็ลงสถานีเพื่อเดินไปโรงแรมได้ อาจจะไม่ใกล้มาก แต่เดินไปได้ครับ

เมื่อใกล้สถานี Owakudani คุณจะผ่านพวกบ่อกำมะถันที่มีควันพวยพุ่งออกมาตลอดเวลาอยู่ด้านล่างด้วย ดูแล้วแปลกตาดีครับ
เมื่อกระเช้ามาถึงสถานี Owakudani ผมก็ลงที่จุดนี้ก่อน
หุบเขา Owakudani เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟHakone เมื่อประมาณ 3,000 ปีที่แล้ว มีความสูง 1,044 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีเส้นทางเดินไปยังบ่อแร่กำมะถัน ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของฮาโกเน่ โดยทางเดินก่อนถึงบ่อกำมะถันจะมีร้านค้าตั้งเรียงรายอยู่มากมาย แต่สินค้าที่ใครมา Owakudaniก็ต้องซื้อทานคือไข่ดำ ซึ่งเป็นไข่ที่ต้มจากบ่อกำมะถันดังนั้นผิวของไข่จึงกลายเป็นสีดำ ราคา 5 ฟอง 600 เยน โดยคนญี่ปุ่นมีความเชื่อกันว่าเมื่อกินไข่ดำ 1 ฟอง จะทำให้อายุยืนยาวขึ้น 7 ปี
ตามที่ผมเกริ่นให้คุณฟังแล้วว่าวันนี้อากาศไม่ค่อยเป็นใจนัก มีฝนตกปรอยๆมาแต่เช้า ยิ่งขึ้นมาบนภูเขาสูงจึงยิ่งเจอแต่หมอก และอากาศที่หนาวเย็นมากอย่างไม่คาดว่าจะมาเจอความเย็นขนาดนี้คือเหลือ -1 องศา
และที่ Owakudani วันนี้ก็เหมือนเมืองในหมอกจริงๆ เพราะเต็มไปด้วยหมอกจนระยะการมองเห็นสั้นมากน่าจะแค่ 200-300 เมตร แต่พวกผมก็ยังเดินไปชมจุดต่างๆเท่าที่จะไปได้ และไม่ลืมแวะไปซื้อไข่ดำมาชิมเพื่อจะได้มีอายุยืนกับเขาบ้าง





ผมใช้เวลาที่นี่สักพักก็กลับเข้ามาในตัวอาคารเพื่อขึ้นกระเช้าต่อไปยังสถานี Togendai
เมื่อใกล้จะถึงสถานี Togendai คุณจะเห็นทะเลาสาปอาชิ แสนกว้างใหญ่พร้อมเรือล่องทะเลสาปรูปทรงโบราณซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่
การล่องเรือในทะเลสาบอาชิจะเป็นรอบๆ เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่อยากเสียเวลาคุณควรจะเช็คเวลาเรือออกไว้ก่อนจะได้มาทันเวลาไม่ต้องมาเสียเวลาคอยแต่อย่างน้อยน่าจะมาถึงก่อนเวลาเรือออกสัก 30 นาที เพราะคนจะมาเข้าแถวรอล่วงหน้าประมาณนี้เพื่อให้มั่นใจว่ามีที่นั่งแน่ๆ แต่ถ้าคุณต้องการที่นั่งแบบชัวร์ๆก็สามารถซื้อตั๋วห้อง VIP ต่างหาก ซึ่งหากคุณมี Pass อยู่แล้วก็ต้องซื้อเพิ่ม 500 เยนครับ
วันนั้นกลุ่มผมมาถึงค่อนข้างเร็วจึงเดินออกถ่ายรูปกับเรือด้านนอก เผลอปร๊บเดียวพอเข้ามาด้านในจากที่โล่งๆไม่มีคน กลายเป็นว่าตอนนี้มีคนมายืนต่อคิวแบบล้นหลามแล้ว มากันแบบเงียบมากๆ 555
เรือที่ใช้ล่องทะเลสาบอาชิแต่ละลำจะมีรูปทรงและการตกแต่งแบบเรือโจรสลัดซึ่งจะมีณุปแบบไม่เหมือนกันนะครับ ดังนั้นจึงอยู่ที่ดวงว่าคุณจะเจอเรือแบบไหน ซึ่งเรือแต่ละลำก็จะมีชื่อของตัวเอง เช่นเรือ Royal / Victoria / Wasa
ผมรอกันไปอีกสักพัก ทางเจ้าหน้าที่ก็จะเปิดประตูให้นักท่องเที่ยวไปขึ้นเรือได้ เท่านั้นแหละผู้โดยสารก็รีบกรูไปกันใหญ่เพื่อจะได้ไปหาที่นั่งกันก่อน เพราะที่นั่งไม่พอกับผู้โดยสารนะครับ ถ้าคุณไม่ได้ที่นั่งก็ต้องยืนตามจุดต่างๆ แต่ส่วนใหญ่คนจะไปยืนบนดาดฟ้าเรือเพื่อชมวิว แต่อย่างวันนี้อากาศค่อนข้างหนาวผมคิดว่าส่วนใหญ่คงอยากจะนั่งด้านในเรือมากกว่า
แต่อย่างที่ผมเล่าไปว่าถ้าคุณต้องการที่นั่งแน่ๆ แบบเป็นส่วนตัวก็สามารถซื้อตั๋วไปนั่งห้อง VIP ได้ซึ่งจะมีดาดฟ้าแยกไปต่างหากด้วยไม่มาปะปนกะกนปกติ เรียกว่าแบ่งชนชั้นกันชัดเจน 555 และค่าใช้จ่ายเพียงแค่ 500 เยนเท่านั้น ซึ่งถ้าคุณไม่ได้ซื้อตั๋ว VIP ไว้ แต่เกิดเปลี่ยนใจตอนขึ้นเรือ ในกรณีของผมที่ counter ด้านล่างในเรือมีขายบัตรให้ด้วยครับ


การตกแต่งในเรือที่ผมนั่งถือว่าสวยงาม และแฝงไปด้วยความทันสมัยด้วย ถ้าคุณเบื่อกับการชมวิวด้านนอกก็อาจจะมาเก็บภาพกับมุมต่างๆภายในเรือได้ครับ โดยจะมี Staff ของเรือแต่งตัวเป็นโจรสลัดมาให้คุณถ่ายภาพคู่ด้วย
ทะเลสาบอะชิ หรือในชื่อเรียกอื่นๆ เช่น ทะเลสาบฮาโกเน่ ทะเลสาบอะชิโนะโกะ เป็นทะเลสาบปล่องภูเขาไฟที่มีทิวทัศน์งดงาม สามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้อย่างชัดเจน ตั้งอยู่ที่เมืองฮาโกเน่ จังหวัดคานากาว่า ประเทศญี่ปุ่น
ทะเลสาบอะชินั้นเกิดขึ้นจากการมอดดับของภูเขาไฟฮาโกเน่เมื่อ 3,000 ปีก่อน อยู่ท่ามกลางหุบเขาสูงเหนือระดับน้ำทะเล 725 เมตร มีระยะทางโดยรอบทะเลสาบ 21 กิโลเมตร
การล่องเรือในทะเลสาบอาชิ จะให้บริการตั้งแต่ 09.30 – 17.00 ระหว่างวันที่ 20 มีนาคม – 30 พฤศจิกายน และ 09.30 – 16.00 ในวันที่ 1 ธันวาคม – 19 มีนาคม
ผมใช้เวลาในการล่องเรือในทะเลสาปอาชิประมาณ 20 นาที เรือก็มาถึงอีกฟากฝั่งหนึ่งของทะเลสาบ ท่าเรือที่เรือมาเทียบท่าก็คือท่าเรือ ฮาโกเน่มาจิโกะ (Hakonemachi-ko / Hakone-machi Port) ซึ่งบริเวณท่าเรือนี้จะมีทั้งร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหารไว้บริการด้วย ตอนแรกผมก็อยากจะทานที่นี่เลยเหมือนกันแต่ปรากฏว่าร้านคนแน่นทุกร้านเลย พวกผมเลยตัดสินใจไปหาอะไรทานกันที่สถานี HakoneYumoto Stationซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทาง และเป็นจุดที่ผมจะไปนั่งรถบัสไปที่โรงแรมด้วย


วิธีการเดินทางจาก ท่าเรือฮาโกเน่มาจิโกะ ไปยังสถานีรถไฟ HakoneYumoto Stationจะต้องใช้รถบัสซึ่งจะมีป้ายรถเมล์อยู่บริเวณท่าเรือเลย หาไม่อยากครับ ผมก็เดินไปรอขึ้นรถบัสที่ตรงป้ายที่เขียนว่าไปสถานีHakoneYumoto Stationซึ่งถ้าใครมี Passก็สามารถขึ้นได้ฟรีเหมือนเดิม


วันนี้พวกผมโชคไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่เพราะรถค่อนข้างติดครับ เป็นวันที่มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยว Hakone เยอะมากๆ ทั้งที่อากาศไม่เป็นใจเลย กว่าพวกผมจะไปถึงสถานี HakoneYumoto Stationก็บ่าย 3 เข้าไปแล้ว
จริงๆแล้วบริเวณสถานี Hakone Yumoto Station อยากให้คุณเผื่อเวลาให้มากๆหน่อยเพราะบริเวณนี้จะมีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขนม ร้านขายของที่ระลึกให้เดินดูเยอะเหมือนกัน แต่เนื่องจากพวกผมไม่มีเวลาเลยตรงไปหาร้านอาหารทานกันเลย และตั้งใจจะเรื่องร้านราเมนหรืออุด้งครับเพราะอากาศค่อนข้างเย็นเลยอยากทานอะไรร้อนๆ กันมากกว่า

หลังจากทานอาหารมื้อเที่ยงแบบเลทมากๆแล้ว ผมก็กลับไปบริเวณสถานีเพื่อไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่ตู้แล้วก็กลับมาที่ป้ายรถเมล์ซึ่งอยู่ตรงข้ามสถานีรถไฟเพื่อจะไปโรงแรมเลย เป็นท่ารอรถเมล์ที่ใหญ่มากๆ หาไม่ยากเลยครับ



เนื่องจากบริเวณที่รอรถเมล์มีรถเมล์มาลงหลายสายเลยค่อนข้างงง ผมเลยเข้าไปถามเจ้าหน้าที่แถวนั้นว่าถ้าจะลงสถานี Obako ผมต้องรอตรงไหน เจ้าหน้าที่ซึ่งหน้าดุแต่ใจดีก็บอกให้ไปรอตรงช่องที่ 2
อยากที่ผมบอกครับว่าวันนี้รถค่อนข้างติด รถเลยเลทกันเป็นแถวเลย กว่ารถจะมาก็ใช้เวลาพอสมควร


เมื่อรถมาผมก็รีบขึ้นไป ซึ่งตรงนี้ต้องเตรียมเหรียญไว้ให้พอดีสำหรับหยอดด้วยนะครับ ประมาณ 860 เยน (จากตรงนี้ใช้ Pass ไม่ได้) จากนั้นผมก็นั่งไปเรื่อยๆ โดยบนจอมอนิเตอร์หน้ารถจะคอยบอกตลอดว่าเรากำลังไปถึงสถานีไหนแล้ว ไม่กลัวว่าจะลงป้ายไหนนะครับ ถ้าจะลงก็มีปุ่มให้กดได้
รถคันนี้จะขับมาผ่านตรง owakudani ที่เป็นบ่อกำมะถันและไข่ดำที่มีชื่อเสียงด้วย เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะแพลนขึ้นรถจากจุดนี้ก็ได้ จาก owakudani ไปยังป้าย Obako นั้นใช้เวลาอีกไม่นาน น่าจะสัก 2-4 ป้ายเท่านั้น โดยป้าย Obako นั้นจะเป็นป้ายรถเมล์เล็กๆอยู่ริมถนน หรืออีกวิธีที่ผมเล่าไปข้างต้นคือนั่งกระเช้าลอยฟ้าไปลงสถานีObako ก็ได้ เสียดาย ผมไม่ทราบมาก่อน ไม่งั้นผมคงเลือกนั่งกระเช้าไปลง Obako แล้วไป check in ที่โรงแรมก่อนที่จะเริ่มออกเที่ยว

เนื่องจากตั้งแต่เช้าวันนี้ที่ผมเดินทางมาแล้วฮาโกเน่ บรรยากาศไม่ค่อยเป็นใจเพราะมีหมอกและฝนตกลงมาเป็นระยะๆ อากาศก็หนาวเย็นลงเรื่อยๆ ยิ่งใกล้ค่ำเท่าไหร่อากาศก็ยิ่งเย็นลง
ตอนที่ผมลงรถที่ป้าย Obako ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันคืออยู่ดีๆ หิมะก็ตกลงมา ซึ่งในมุมนึงก็น่าตื่นเต้นดีครับ เพราะอยู่ดีๆก็ได้เจอหิมะซะงั้น แต่ปัญหาคือจากป้ายรถเมล์ผมต้องเดินไปโรงแรมอีกราว 500 เมตร โดยให้ข้ามถนนไปอีกฝั่ง แล้วเดินเข้าไปในถนนที่ลึกเข้าไปด้านในเลยครับ ซึ่งระหว่างเดินจะเห็นว่ามีกระเช้าลอยฟ้าอยู่ด้านบน ซึ่งอย่างที่ผมบอกครับว่าตรงจุดนี้สามารถมาลงที่สถานีObako จากกระเช้าได้เช่นเดียวกัน


ผมเดินไปราวๆ 500 เมตรตามถนนโดยสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ ท่ามกลางหิมะที่เริ่มตกลงมาหนักขึ้น สักพักก็จะเห็นทางเข้าโรงแรมอยู่ซ้ายมือ นาทีนั้นเลยกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปที่โรงแรมครับ

ในคืนนี้พวกผมพักกันที่โรงแรม Hotel Green Plaza Hakone ซึ่งเป็นโรงแรมที่ถ้าหากคุณอยากหาโรงแรมสำหรับพักในฮาโกเน่ โดยมีที่แช่ออนเซนแบบเห็นวิวภูเขาไฟฟูจิไปด้วย ผมแนะนำที่นี่เลยครับ และผมได้เคยเขียนมาเล่าให้คุณอ่านแบบละเอียดพร้อมแนบรูปมหาศาลให้คุณดูแล้วในตอน โรงแรม Hotel Green Plaza Hakone , Japan
เมื่อมาถึงทางเข้าโรงแรมจะมีผ้าขนหนูให้บริการไว้เช็ดเนื้อเช็ดตัวด้วย จากนั้นผมก็ไป check in และรับกุญแจเข้าห้องครับ โดยระหว่างที่กำลังเช็คอิน เจ้าหน้าที่จะให้เราจองเวลาสำหรับ Dinner ด้วย เนื่องจากแขกที่มาพักค่อนข้างเยอะ (คือเต็มทุกห้อง) ดังนั้นการทานอาหารต้องทานเป็นรอบๆ เพราะอาหารเย็นที่นี่เป็นบุฟเฟย์ครับ ซึ่งขอบอกเลยว่าดีงามมากๆ ( เรื่องอาหารเวลาจองโรงแรมอาจจะต้องเช็คก่อนนะครับ เพราะถ้าคุณอยากจะได้อาหารญี่ปุ่นแบบเป็นเซตก็ต้องแจ้งโรงแรมก่อน)
หลังจากจองเวลาทานอาหารและรับกุญแจแล้ว ผมก็รีบไปที่ห้องซึ่งระหว่างทางก็สำรวจโน่นนี่นั่นไปด้วย จริงๆแล้วโรงแรมแห่งนี้ไม่ได้ใหม่มาก แต่ก็มีความโออ่าสวยงาม
ยิ่งเมื่อเข้าไปในห้องซึ่งผมจองไว้เป็นแบบห้องนอนญี่ปุ่นก็เห็นสภาพว่ากึ่งเก่ากึ่งใหม่ และดูดี ไม่ได้แย่อะไรนะครับ โดยห้องถือว่าค่อนข้างกว้างขวางเลยและจะแบ่งเป็น 3 ส่วน
ส่วนด้านหน้าจะเป็นห้องน้ำและจุดวางรองเท้า

ส่วนตรงกลางจะเป็นพื้นที่ของตู้เสื้อผ้าและการแต่งตัว แต่เมื่อมีการมาปูที่นอนแล้ว จะมีการย้ายโต๊ะนั่งมาไว้ตรงส่วนนี้
ส่วนในสุดจะเป็นพื้นที่โต๊ะนั่งสำหรับพักผ่อน มีทีวี กาน้ำร้อนบริเวณนี้ แต่ตรงส่วนนี้ตอนเย็นๆระหว่างเราไปทานอาหาร แม่บ้านจะแอบ (555) เข้ามาปูที่นอนให้ และจะย้ายโต๊ะไปไว้ตรงส่วนกลางแทน
ส่วนสุดท้ายจะเป็นระเบียงเล็กๆให้ออกไปสูดอากาศข้างนอกได้
ตอนนั้นผมมองออกไปนอกหน้าต่าง หิมะยังลงหนักมาเรื่อยๆ ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโชคดีจังที่ได้มาเห็นวิวฮาโกเน่ตอนหิมะตก เพราะสวยมากๆครับ
หลังจากจัดแจงข้าวของและนั่งพักกันพอสมควรแล้ว ผมก็ชวนกันไปทานมื้อเย็นซึ่งห้องอาหารจะอยู่ด้านล่างบริเวณ lobby เมื่อไปถึงก็แจ้งชื่อกับห้องครับ เจ้าหน้าที่ก็จะเช็คว่าตรงกับที่เราจองไว้หรือไม่
หลังจากแจ้งชื่อแล้ว เจ้าหน้าที่ก็จะนำไปนั่งที่โต๊ะ พร้อมกับบัตรจองโต๊ะให้เรียบร้อย
สำหรับห้องอาหารเย็นแบบบุฟเฟย์ที่นี่ต้องบอกว่าดีงามมากครับ ตั้งแต่นาทีแรกที่เข้าไปสิ่งแรกที่รู้สึกคือกว้างขวางใหญ่โตมาก มีอาหารให้เลือกทานเยอะมากๆๆๆๆๆ เรียกว่าแทบจะมีอาหารทุกชนิด
Zone ขนมและของหวานก็ดีมาก
งานนี้เรียกว่ากิ่นกันเกินอิ่มมากๆๆๆ
หลังจากทานอาหารกันแล้วก็ได้เวลาไปสำรวจออนเซนครับเพราะที่โรงแรมแห่งนี้จะมีชื่อเสียงเรื่องออนเซนมาก โดยเฉพาะวิวภูเขาไฟฟูจิ ผมสำรวจกันสักพักก็กลับขึ้นไปส่งคุณแม่กับพี่สาวที่ห้อง ซึ่งปรากฏว่าแม่บ้านแอบมาปูเตียงให้เรียบร้อยแล้ว
แต่เนื่องจากผมไปเข้าออนเซนตอนกลางคืนแล้วก็เลยอดเห็นภูเขาไฟฟูจิ ก็เลยตั้งใจว่าวันรุ่งขึ้นจะกลับมาเข้าออนเซนอีกครั้ง
หลังจากแช่ออนเซนแบบฟินเว่อร์ไปนานโขอยู่เหมือนกัน เพราะผมชอบมาก ก็ได้เวลากลับไปนอนซึ่งเตียงที่นี่นุ่มมาก ผ้านวมก็อุ่นสุดๆ แถบข้างนอกยังมีหิมะตกมาไม่หยุดหย่อน เป็นการนอนที่มีความสุขมากครับ ผมนี่หลับสนิทตั้งแต่หัวถึงหมอนจนเช้าเลย
วันนี้ถือเป็นอีกวันที่ค่อนข้างสมบุกสมบันกับการเดินทางและอากาศที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ก็ทำให้ผมได้ประสบการณ์การเดินทางที่ดีไปอีกแบบ แต่เนื่องจากวันนี้อากาศไม่ค่อยเป็นใจในการท่องเที่ยวHakone พรุ่งพวกผมเลยตั้งใจจะไปเที่ยววนกันอีกรอบเพราะพยากรณ์อากาศบอกว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นวันที่อากาศดีมีแดดตลอดทั้งวัน ผลลัพท์จะเป็นยังไงผมจะเขียนมาเล่าให้อ่านตอนหน้านะครับ
แต่ขอแอบเกริ่นกับคุณว่าผมได้ภาพสวยๆของภูเขาไฟฟูจิมาเยอะมากๆเลยครับ เรียกว่าฟ้าหลังฝนจริงๆ
อยากให้คุณไปอยู่ตรงนั้นด้วยกัน
Mgastronome
One thought on “เที่ยว Kamakura / Enoshima และ Hakone 3 วัน 2 คืนด้วย Hakone Kamakura Pass Part 4 : Day 2 Hakone #1”