ถึง…เธอ
มาถึงจดหมายฉบับก็ได้เวลาที่ผมจะนำคุณไปเที่ยวในทริป Review ทริปเที่ยวบ้านเกิดคุมะมง Kumamoto – Saga – Fukuoka ประเทศญี่ปุ่น Part 1 : Intro กันแล้วหลังจากที่ผมได้แยกไปเขียนมาเล่าถึงโรงแรมและร้านอาหารให้คุณอ่านใน 2 ฉบับที่แล้ว
ทริปนี้ผมยังใช้บริการของการบินไทยเช่นเดินโดยเดินทางออกจากสนามบินสุวรรณภูมิตอนเที่ยงคืน50 นาทีและไปถึงเมืองฟุกุโอกะซึ่งเป็นเมืองใหญ่ทางตอนใต้ของญี่ปุ่นในตอนเช้าพอดี
หลังจากล้างหน้าล้างตาเติมความสดชื่นกันที่สนามบินแล้ว พวกผมก็ออกเดินทางเที่ยวกันทันทีโดยจุดหมายแรกในวันนี้คือเมืองดาไซฟุเพื่อไปไหว้ศาลเจ้าเทนมานกุที่โด่งดังของเมืองนี้และถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยว Highlight ของ Fukuokaด้วย
เมืองดาไซฟุ (Dazaifu)
เป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่ใกล้กับเมืองฟูกุโอกะโดยห่างออกไปแค่ 15 กิโลเมตร จากฟุกุโอกะใช้เวลาแค่ 20 นาทีก็สามารถมาเที่ยวเมืองดาไซฟุได้แล้ว
การเดินทางไปเมือง Dazaifu
การเดินทางไปเมืองดาไซฟุนั้นมี 3 วิธีที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว
- นั่งรถไฟสาย Nishitetsu Railway
โดยให้ไฟขึ้นรถที่สถานี Tenjin station ในเมืองฟุกุโอกะ จากนั้นก็นั่งมาลงที่ Futsukaichi Station โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที แล้วค่อยไปต่อรถไปลงที่เมืองดาไซฟุ ซึ่งใช้เวลาแค่ 5 นาที
- นั่งรถบัสจากตัวเมืองหรือสนามบิน
จากตัวเมืองฟุกุโอกะสามารถนั่งรถบัสจากสถานีรถบัส Hakata Bus Center จะมีรถบัสที่วิ่งระหว่างฟุกุโอกะและเมืองดาไซฟุ โดยรถบัสนี้จะผ่านสนามบินฟุกุโอกะด้วย ดังนั้นหากคุณบินไปลงที่สนามบินฟุกุโอกะแล้วจะไปเที่ยวที่ดาไซฟุเลยก็สามารถขึ้นรถบัสที่สนามบินได้เลยเช่นกัน
- นั่งรถไฟ JR Kagoshima Line
คุณสามารถขึ้นรถไฟสาย JR Kagoshima Line ที่สถานี Hakata Station จากนั้นก็ไปลงที่สถานี JR Futsukaichi Station เหมือนวิธีที่ 1 จากนั้นให้เดินไปต่อรถไฟที่สถานี Nishitetsu Futsukaichi Station แล้วนั่งรถไฟสาย Nishitetsu Dazaifu Line มาลงที่สถานี Dazaifu Station ได้เลย
เมื่อถึงสถานี Dazaifu Station แล้ว ให้เดินออกมาแล้วเลี้ยวไปทางขวาจะเป็นถนนซันโด ซึ่งสองข้างทางจะมีร้านขายขนม อาหาร ของที่ระลึกมากมายเรียกว่าถ้ามัวหลงกับการ shopping คุณคงไม่สามารถไปถึงศาลเจ้าเทนมานกุ (Tenmangu Shrine)ได้ง่ายเพราะมีแต่ของน่าซื้อน่าทานทั้งนั้น ดังนั้นผมจึงอยากแนะนำให้คุณเดินไปศาลเจ้าก่อน แล้วจึงค่อยกลับมา shopping ที่ถนนสายนี้ดีกว่า ยกเว้นคุณมีแผนจะไปเที่ยวที่อื่นที่อาจจะต้องเดินไปทางด้านหลังของศาลเจ้า


ระหว่างเดินผ่านถนนซันโดนอกจากร้านค้า ร้านอาหารแล้ว คุณจะเห็นที่ทิ้งขยะที่ใช้กระเบื้องทำลวดลายไว้อย่างสวยงามจนไม่กล้าเอาขยะไปทิ้งเลย บางจุดจะเป็นกระเบื้องที่เป็นสถานที่สำคัญพร้อมบอกเล่าเรื่องราวของสถานที่นั้นๆไว้บนกระเบื้องด้วย
และอีกจุดระหว่างทางเดินไปศาลเจ้าที่เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวคือร้าน Starbuck ที่ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดัง Kuma Kengo ซึ่งงานของสถาปนิกท่านนี้นิยมเอางานไม้มาใช้ในการออกแบบได้อย่างสวยงามไม่เหมือนใคร
ระยะทางเดินไปศาลเจ้าแม้จะไม่ shopping หรือแวะอะไรเลยก็ใช้เวลาพอสมควรในที่สุดผมก็มาถึงศาลเจ้าครับ
ศาลเจ้าเทนมานกุ(Tenmangu Shrine)
ศาลเจ้าแห่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่ศรัทธาของคนญี่ปุ่นเป็นอย่างมากโดยเฉพาะเรื่องการเรียนการสอบ รวมทั้งเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวด้วย
เทพเจ้าที่สถิตอยู่ในศาลเจ้าดาไซฟุเท็มมังกูคือซุกาวาระ โนะ มิจิซาเนะ
มิจิซาเนะเป็นนักวิชาการ นักการเมือง และนักเขียนที่ได้รับความเชื่อถือจากผู้คนมากมายทั่วประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากเรียนเก่งเข้าขั้นอัจฉริยะจนได้รับตำแหน่งมงโจฮากาเสะ ตำแหน่งสูงสุดสำหรับนักปราญช์ในสมัยนั้น แต่สุดท้ายท่านโดนใส่ร้ายจึงถูกเนรเทศจากเกียวโตไปยังเมืองดาไซฟุ และจบชีวิตลงที่นี่ต่อมาท่านจึงได้รับการยกย่องให้เป็นเทพเจ้าแห่งการศึกษาจนปัจจุบันมีสาขาของศาลเจ้าเท็มมังกูที่สักการะซุกาวาระ โนะ มิจิซาเนะอยู่ทั่วประเทศญี่ปุ่นถึงกว่า 12,000 แห่ง โดยมีศาลเจ้าดาไซฟุเท็มมังกูแห่งนี้เป็นศาลเจ้าสาขาหลัก ศาลเจ้าแห่งนี้จึงมีนักเรียนนักศึกษามาไหว้ขอพรเพื่อให้สอบผ่านหรือขอให้ผลการเรียนดีขึ้นกันตลอดเวลา
หลังจากเดินพ้นถนนซันโดจนเข้ามาในเขตศาลเจ้าแล้วจะเจอกับส่วนประชาสัมพันธ์ของศาลเจ้าอยู่ทางขวามือสามารถแวะไปหยิบแผนที่ของศาลเจ้ากันไว้ได้ และบริเวณนี้ก็จะมีรูปปั้นวัวสัมฤทธิ์ในท่านั่งหมอบอยู่ ซึ่งวัวตัวนี้จะถือเป็นตัวแรกของรูปปั้นหัวทั้งหมด 10 ตัวที่มีอยู่ในศาลเจ้า
เหตุที่รูปปั้นวัวได้รับการเคารพสักการะและเป็นที่นิยมมาลูบกันก็เพราะหลังจากที่มิจิซาเนะสิ้นชีวิต เหล่าลูกศิษย์ได้นำร่างของเขาขึ้นเกวียนแล้วให้วัวซึ่งเป็นตัวเดียวกับที่พาท่านมาที่นี่ลากเพื่อไปยังจุดทำพิธีศพ ระหว่างที่กำลังเดินทางนั้นเองอยู่ดีๆ วัวก็หยุดเดินแล้วก็ไม่ยอมขยับไปไหนอีก ลูกศิษย์จึงนำร่างของมิจิซาเนะฝังไว้นะตรงจุดนั้น แล้วก็สร้างศาลเจ้าขึ้น ณ จุดเดียวกัน กลายมาเป็นศาลเจ้าดาไซฟุเท็มมังกูในปัจจุบัน
จากความเป็นมานี้จึงเชื่อกันว่าถ้าลูบหัวของรูปปั้นวัว จะทำให้ฉลาดขึ้นและสามารถเรียนได้เก่งและสอบผ่านในทุกการสอบ
จากรูปปั้นวัว คุณก็จะเห็นสะพานไม้สีแดงทอดข้ามบ่อน้ำ อีกฝั่งของสะพานคือฮนเด็น อาคารศาลเจ้าหลักอันงดงามท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบและสีสันสดใสจากธรรมชาติรอบข้าง โดยเฉพาะในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิถือเป็นสถานที่ชมดอกบ๊วยชื่อดังของแถบนี้เลย
เมื่อเข้าเขตศาลเจ้าเจอกับสะพานทอดข้ามสระน้ำโดยประกอบไปด้วย 3 สะพานเรียงต่อกันที่จะนำไปสู่ศาลเจ้าหลัก แต่ละสะพานจะเป็นตัวแทนแสดงถึงถึง “อดีต ปัจจุบัน และอนาคต” ดังนั้นการเดินข้ามสะพานนี้จึงเปรียบได้กับการชำระร่างกายและจิตใจให้บริสุทธิ์ก่อนจะเข้าพบเทพเจ้า
เมื่อข้ามสะพานครบแล้ว จะเจอบ่อน้ำชำระล้างอยู่ทางขวา ซึ่งจะมีวิธีการใช้น้ำชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากร่างกายอยู่ด้านบน คุณก็สามารถดูวิธีจากรูปที่ทางศาลเจ้าทำไว้เป็นตัวอย่างก็ได้ครับ
เมื่อชำระล้างกันแล้วก็จะเข้าสู่ประตูสีแดงขนาดใหญ่เรียกว่าโรมง ประตูโรมงนี้มีความแปลกที่ด้านหน้ากับด้านหลังมีรูปร่างไม่เหมือนกัน คือถ้ามองจากด้านหน้าจะเห็นหลังคา 2 ชั้น แต่พอมองจากด้านในจะมีหลังคาแค่ชั้นเดียวครับ


เมื่อเดินลอดผ่านประตูโรมงไปแล้วก็จะเห็นศาลเจ้าหลักซึ่งช่วงที่ผมไปกำลังมีการสวดทำพิธีกันอยู่พอดี แล้วแถวที่รอเข้าไปนั้นยาวววววววววมาก


ศาลเจ้าหลักนี้สร้างขึ้นในปี คศ 919 หลังจากนั้นก็ประสบอัคคีภัยหลายต่อหลายครั้ง และได้รับการบูรณะจนเป็นรูปแบบปัจจุบันในปี 1591 จนปัจจุบันศาลเจ้าแห่งนี้ได้รับเลือกให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญประเทศญี่ปุ่น
ผมเดินไปทางด้านหลังก็พบกับต้นไม้ใหญ่และต้นบ๊วยมากมาย โดยศาลเจ้าดาไซฟุเท็มมังกูเป็นสถานที่ๆมีชื่อเสียงในการชมดอกบ๊วยเพราะในศาลเจ้ามีต้นบ๊วยกว่า 200 สายพันธุ์ ราว 6,000 ต้นปลูกอยู่ โดยดอกบ๊วยจะเริ่มบานในช่วงปลายเดือนมกราคมจนถึงปลายเดือนมีนาคมทำให้ศาลเจ้าแห่งนี้ละลานตาไปด้วยสีชมพูของดอกบ๊วยซึ่งสวยงามมากครับ
เหตุที่ในศาลเจ้าแห่งนี้มีต้นบ๊วยเยอะมากก็เพราะซุกาวาระ โนะ มิจิซาเนะชื่นชอบต้นบ๊วยมากนั้นเองครับ
ด้านหลังของศาลเจ้าจะมีร้านอาหาร ร้านขนม พร้อมที่นั่ง หรือคล้ายๆแคร่บ้านเราให้ไปนั่งทานอาหารซึบซับบรรยากาศกันได้ แต่คณะของผมได้จองร้านอาหารในบริเวณนั้นไว้แล้วจึงได้ไปทานอาหารกันที่นั่นซึ่งอาหารก็อร่อยดีครับ สามารถฝากท้องไว้ที่นี่ได้ โดยเฉพาะใครพาเด็กเล็กๆมาด้วย อาหารชุดของเด็กทำมาได้น่ารักน่าทานจนผมเองยังอยากไปแย่งของเด็กทานเลยครับ 555

หลังจากทานอาหารกันอิ่มแล้วก็ได้เวลาไปเดิน shopping กันที่ถนนซันโดซึ่งถ้าคุณสังเกตจะเห็นว่ามีร้านทำขนมโมจิเยอะมาก เนื่องจากเมืองดาไซฟุมีชื่อเสียงในเรื่องความอร่อยและเป็นเอกลักษณ์ของขนมอุเมะกาเอโมจิครับ

นอกจากนั้นยังมีร้านขนม ร้านอาหาร ร้านของฝากมากมายเลยบนถนนสายนี้เรียกว่าใครชอบ shopping คงต้องใช้เวลาพักใหญ่เลย โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นแฟนการ์ตูน Totoro ของค่าย Ghibli แบบผมคงต้องคลั่งแน่ๆ เพราะมีร้านที่ขายเฉพาะสินค้าลิขสิทธิ์ Totoro อย่างเดียวอยู่ด้วยซึ่งของที่ขายน่ารักน่าซื้อไปหมดเลยครับ
จริงๆแล้ว หากคุณมีเวลาในเขตศาลเจ้ายังมี Treasure Hall Houmotsudenที่จัดแสดงสิ่งของล้ำค่า เช่น สมบัติที่เกี่ยวข้องกับมิจิซาเนะไว้ราว 50,000 ชิ้น หรือจะเดินไปพิพิธภัณฑ์แห่งชาติคิวชูที่เดินไปทางด้านหลังของศาลเจ้าแค่ 5 นาทีให้เที่ยวชมด้วยครับ
แต่สำหรับผมซึ่งมีโปรแกรมสำคัญรออยู่ต้องรีบเดินทางไปที่เมืองคุมาโมโต้กันต่อเพื่อไปพบกับเจ้าหมีดำสุดน่ารักคุมะมงซึ่งเป็น Highlight ของทริปนี้ครับ
Kumamon Square
การไปเจอคุมะมงตัวเป็นๆ ต้องไปที่ KUMAMON Square ครับซึ่งตั้งอยู่ที่อาคาร Tetoria Kumamoto Building ชั้น1 เลย แม้จะใช้คำว่า square ซึ่งอาจทำให้คุณนึกถึงลานโล่งๆ แต่จริงๆแล้ว Kumamon Square เป็นห้องๆ หนึ่งหรืออาจจะเรียกว่า Shop Kumamon ก็ได้โดยด้านหน้าจะมีรูปปั้นคุมะมงตั้งไว้อย่างโดดเด่น หาไม่ยากแน่นอน
การเดินทางไป Kumamon Sqaure จาก Kumamoto Station สามารถไปโดยใช้รถ Tram หรือรถบัสไปลงที่สถานี Suidocho ซึ่งจะอยู่ตรงข้ามกับตึกเลยครับแต่ทางเข้าตึกนั้นอาจต้องเดินอ้อมไปหน่อย
นอกจากนั้นยังสามารถใช้ Kumamoto Castle Loop มาลงที่ป้ายที่ 15 Urusan Machi ซึ่งจะจอดตรงหน้าตึกที่มีรูปคุมะมงขนาดใหญ่เลย แต่ต้องเดินต่อไปอีกประมาณ 10 นาทีครับ
สำหรับ Kumamon Square จะเปิดทำการทุกวันตั้งแต่ 10.00 – 19.00 น. แต่ถ้าคุณอยากจะเจอกับคุมะมงตัวเป็นๆ ต้องเช็คเวลาก่อนครับว่าวันไหนคุมะมงจะว่างมาเจอกับแฟนคลับบ้าง555 โดยสามารถเช็คได้ที่เวบนี้ครับ http://www.kumamon-sq.jp/en/

ที่ผมบอกคุณว่าต้องเช็คตารางงานของคุมะมงก่อน เพราะคุมะมงถูกทางจังหวัดคุมาโมโต้วางไว้ให้มีชีวิตเหมือนคนจริงๆ คือมีเรื่องราวที่มาที่ไป มีครอบครับ มีที่ทำงาน และมีตำแหน่งด้วย โดยปัจจุบัน คุมะมง มีตำแหน่งเป็น “ผู้อำนวยการความสุข” ของเมืองคุมาโมโต้
ดังนั้น Highlight หนึ่งของ Kumamon คือที่นี่จะมีห้องทำงานของคุมะมงด้วยซึ่งให้คุณเข้าไปถ่ายรูปได้ ในห้องทำงานจะเห็นว่ามีโต๊ะทำงาน รูปถ่าย กองเอกสาร โทรศัพท์ แม้กระทั่งกระดานนัดหมายคิวต่างๆ เหมือนคนจริงๆเลยครับ

นอกจากนั้นยังมีมุมเล็กๆสำหรับขายของที่ระลึกของคุมะมงด้วย
แต่ Part ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกรวมทั้งคนญี่ปุ่นเองสนใจคือช่วงเวลาที่คุมะมงจะมาพบกับแฟนคลับตามตารางที่ผมเขียนไว้ด้านบน ซึ่งวันนั้นผมก็ไปในเวลาที่คุมะมงมาพอดี โดยจะใช้เวลาพบปะแฟนคลับประมาณ 30 นาทีครับ
ผมต้องยอมรับเลยว่าแฟนคลับคุมะมงนั้นไม่ธรรมดาครับมีมากมายเลย เพราะฉะนั้นอย่าแปลกใจถ้ามีการมานั่งรอจับจองที่นั่งกันตั้งแต่ไก่โห่เพราะอยากนั่งแถวหน้าหรือใกล้ชิดคุมะมงมากๆ
การพบปะแฟนๆ ของคุมะมงจะมีพิธีกรคอยบรรยายนะครับ และเจ้าคุมะมงก็จะมีเล่นกับคนดูและมีเต้นโชว์ด้วย พอคุมะมงออกมานี่ต้องบอกว่าเสียงกรี๊ดไม่แพ้ดาราเลย
งานนี้ถือว่า Mission มาเยี่ยมบ้านเกิดคุมะมงของผมสำเร็จครับเพราะได้มาเจอเจ้าคุมะมงสุดน่ารักตัวเป็นๆจนได้ ซึ่งต้องบอกว่าบุคลิกของคุมะมงที่เห็นทั้งตลก น่ารัก น่าเอ็นดูมากเลยครับ มิน่าถึงดึงดูดคนทุกเพศทุกวัยให้ดั้นด้นมาถึงที่นี่ได้
หลังจากฟินกันเต็มที่กับคุมะมงแล้ว ก็ได้เวลาไปช้อปปิ้งกันครับซึ่งอยู่บริเวณคุมะมงสแควร์เลย แค่เดินออกจากตึกมา โดยแหล่ง shopping เหล่านี้ประกอบไปด้วย Kamitori, ShimotoriและSun Road Shin-shigai ถือได้ว่าเป็นแหล่งช็อปปิ้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองคุมาโมโต้
ย่าน shoppingเหล่านี้จะเป็นถนน shopping ลึกเข้าไปโดยมีหลังคาโค้งคลุมไปตลอดทาง และสามารถเดินทะลุถึงกันหมด โดยถนน Kamitoriและ Shimotori จะเต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึก ของฝาก ร้านกาแฟ และร้านอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมมากมาย ส่วนถนนSun Road Shin-shigaiจะเน้นเป็นสินค้าอิเล็คทรอนิคส์ เป็นหลัก
ในวันนั้นผมโชคดีที่มีการปิดถนนเพื่อขบวนแห่อะไรสักอย่างด้วย ขบวนค่อนข้างยาวและมีการแต่งตัวแต่ละทีมไม่เหมือนกันเลย โชคดีที่ได้ดูขบวนพวกนี้ด้วยครับ
เมื่อ Shopping กันจนเหนื่อยแล้วผมก็เดินทางไปทานมื้อเย็นกันต่อที่ร้านบุฟเฟย์ปิ้งย่าง Sutamina Taro Buffet ที่มีสาขาอยู่ทั่วญี่ปุ่น รวมทั้งเมืองคุมาโมโต้นี้ซึ่งผมได้เขียนมาเล่าให้คุณอ่านแล้วในตอน ร้านบุฟเฟ่ย์สุดคุ้ม Sutamina Taro Buffet , ประเทศญี่ปุ่น
ต้องบอกเลยครับ บุฟเฟ่ย์ปิ้งย่างร้านนี้ถือว่าคุ้มค่ามากจริงๆ อาหารละลานตามากมาย กินกันไม่หวาดไม่ไหว รสชาติก็ไม่เลวเลยครับ
หลังจากอิ่มแล้วผมก็เดินทางเข้าที่พักที่ Review โรงแรม ANA Crowne Plaza Kumamoto New Sky , เมืองคุมาโมโต้ ,ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งผมเขียนมาเล่าให้คุณอ่านไว้อย่างละเอียดแล้วเช่นกัน โรงแรมแห่งนี้ก็เป็นโรงแรมที่ผมอยากแนะนำเลยครับถ้าใครจะมาพักที่เมืองคุมาโมโต้เพราะสะดวกสบายเลยทีเดียว
สำหรับวันแรกของการเดินทางมาเยือนบ้านเกิดคุมะมงที่เมืองคุมาโมโต้ของผมวันแรกก็จบลงเพียงเท่านี้แต่ภารกิจในการเยี่ยมบ้านคุมะมงยังไม่จบครับ เพราะวันที่ 2 ของการเดินทางผมจะพาคุณไปนั่งรถไฟขบวนคุมะมงด้วยกัน จะเป็นยังไงรอติดตามอ่านนะครับ
อยากให้คุณไปอยู่ตรงนั้นด้วยกัน
รักและคิดถึง
Mgastronome
One thought on “Review ทริปเที่ยวบ้านเกิดคุมะมง Kumamoto – Saga – Fukuoka ประเทศญี่ปุ่น Part 3 : Bangkok -Fukuoka – Dazaifu – Kumamoto”