ถึง…เธอ
จดหมายหมายฉบับนี้ผมจะเริ่มเล่าถึงวันที่สองในทริป ซึ่งวันนี้ผมเริ่มต้นด้วยอาหารเช้าที่ Review โรงแรม ANA Crowne Plaza Kumamoto New Sky , เมืองคุมาโมโต้ ,ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นอาหารเช้าที่แม้จะห้องไม่กว้างขวางแต่อาหารนั้นเปี่ยมคุณภาพมากๆ เรียกว่าเก็บพลังไว้เต็มอิ่มเลย ซึ่งผมได้เขียนมาเล่าให้คุณอ่านอย่างละเอียดแล้ว
หลังจากทานมื้อเช้าแล้ว ผมก็รีบเดินทางไปสถานีรถไฟ Kita-Kumamoto เพราะวันนี้ผมจะไปนั่งรถไฟคุมะมงครับ
ที่สถานี Kita Kumamoto จะมีสายรถไฟ Kumamoto Denkitetsudo ซึ่งจะมีมีเส้นทางรถไฟ 3 สายโดยมีจุดเริ่มต้นที่สถานีKita Kumamoto แห่งนี้ และที่สำคัญคือจะมีขบวนรถไฟหลายขบวนที่มีการทำเป็น“รถไฟคุมะมง” โดยมีลวดลายคุมะมงตกแต่งอยู่ทั้งขบวน
เส้นทางการวิ่งของรถไฟขบวนนี้จะวิ่งในระยะทางสั้นๆ ซึ่งทำให้คุณสามารถมาลองนั่งเพื่อมีประสบการณ์กับรถไฟคุมะมงได้โดยไม่ต้องใช้เวลามาก ซึ่งในกรณีของผมก็เช่นกัน ผมนั่งไปสุดปลายทางแล้วก็นั่งกลับ กินเวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็ได้ฟินกับความเป็นรถไฟคุมะมงแล้ว
หากคุณสนใจก็ลองหาข้อมูลเพิ่มได้ครับที่ https://www.kumamotodentetsu.co.jp/en/guide/
หลังจากนั้นผมก็นั่งรถไปต่อกับชาวคณะทัวร์เพื่อไปเก็บแอปเปิ้ลกินกันสดๆในสวน ซึ่งสวนที่ผมไปนั้นจะมีสวนผลไม้หลากหลายมากให้คุณเลือกไปใช้บริการโดยลองเข้าไปดูที่ website ของสวนนี้ได้นะครับ แต่ต้องขอบอกก่อนว่าเวบไซส์เป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมดนะครับ แต่อย่างน้อยก็มีเมลให้ติดต่อ และมีไลน์ด้วย อาจจะลองสอบถามไปดูได้คับ
สวนที่ผมเลือกไปกันวันนั้นคือสวนแอปเปิ้ลซึ่งเมื่อไปถึงจะมีตะกร้าและกรรไกรตัดผลไม้ให้คุณละหนึ่งชุด เมื่อตัดมาแล้วคุณก็สามารถเอามานั่งทานในบริเวณที่กำหนดไว้ให้โดยมีทั้งโต๊ะเก้าอี้ให้ แต่ที่ทำให้บรรยากาศตรงนี้พิเศษมากๆคือด้านบนจะเป็นพวงองุ่นนับร้อยๆ อยู่ข้างบน ทำให้บริเวณนี้ดูสวยมากครับที่สำคัญองุ่นแต่ละพวงนั้นใหญ่มาก น่ากินที่สุด เห็นแล้วผมอยากกินองุ่นมากกว่าแอปเปิ้ลเสียอีก
ในสวนของสวนแอปเปิ้ลด้านไหนนั้นก็ไม่ธรรมดาครับเพราะมีแอปเปิ้ลหลายพันธุ์เลยที่ปลูกอยู่ในสวนนี้และแต่ละลูกก็ลูกใหญ่โตมโหฬารทั้งนั้น เรียกว่าทานแค่ลูกสองลูกก็จ็จุละครับ
อย่างที่ผมเกริ่นไว้ตอนต้นว่านอกจากที่นี่จะมีสวนแอปเปิ้ล และองุ่นแล้ว ที่นี่ยังมีสวนส้มอยู่ด้วย ซึ่งอยู่ติดกันเลยสามารถเดินไปดูได้ ลูกส้มขึ้นเต็มต้นเลยครับ น่าทานมากๆ
หลังจากอิ่มกันพอประมาณแล้วพวกผมก็นั่งรถกลับเข้าไปในเมืองคุมาโมโต้เพื่อไปทานอาหารเที่ยงกันซึ่งมีนี้จัดเต็มจัดหนักอีกแล้วด้วยอาหารชุดแบบญี่ปุ่นที่ทั้งสวยงามและอร่อยมากๆเลยครับ
ผมแนบโบชัวร์ของทางร้านมาไว้ให้คุณด้วยเพราะผมก็ไม่สามารถสามารถให้ข้อมูลอะไรได้เนื่องจากเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด (อีกแล้ว) แต่เผื่อคุณพอจะอ่านได้จะได้ลองไปทานดูครับ
อิ่มอร่อยกันแล้วพวกผมก็ไปแวะดูปราสาทคุมาโม้โต้กันต่อ ที่ต้องใช้คำว่าแวะดูเพราะว่าปราสาทแห่งนี้ได้รับความเสียหายอย่างมากจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในปี 2016 ดังนั้นจึงไม่ได้เปิดให้เข้าชมด้านใน คุณสามารถมาดูได้แค่ด้านนอกเท่านั้น และผมได้ข่าวว่าอาจจะต้องใช้เวลาซ่อมแซมอีกหลายปี
ผมอาจจะโชคดีหน่อยที่ผมเคยมีโอกาสมาเยือนปราสาทแห่งนี้แล้วในปี2007 เลยมีภาพความยิ่งใหญ่ของปราสาทแห่งนี้เก็บไว้มาให้คุณชมครับ
ปราสาทคุมาโมโต้ (Kumamoto Castle)
เป็นแลนด์มาร์กสำคัญของเมืองคุมาโมโต้และยังถือเป็นหนึ่งในปราสาทที่สวยงามยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น เนื่องจากเป็นหนึ่งในไม่กี่ปราสาทที่มีความสมบูรณ์อยู่
ปราสาทแห่งนี้คาดว่าน่าจะถูกสร้างประมาณปี ค.ศ. 1601 จุดเด่นที่สำคัญที่ทำให้ปราสาทแห่งนี้มาเยือนจำนวนมากโดยเฉพาะในช่วงที่ซากุระบานเนื่องจากบริเวณรอบๆปราสาทมีต้นซากุระอยู่มากกว่า 800 ต้น ทำให้ปราสาทคุมาโมโต้เป็นจุดชมซากุระที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเมืองคุมาโมโต้

ถึงแม้ตัวปราสาทจะเข้าชมไม่ได้ แต่ด้านหน้าก็มีห้องนิทรรษการและข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทให้เข้าไปชมได้ครับ
จากปราสาทคุมาโมโต้เดินไปไม่ไกลเพียง 5 นาทีจะมีแหล่ง shopping ที่สร้างย้อนบรรยากาศกลับไปสมัยเอโดะให้คุณไปหาซื้อของฝาก ของที่ระลึกหรือแม้แต่ทานอาหารได้ครับ
Sakuranobaba-Johsaien
เป็นแหล่งซื้อของฝาก ของที่ระลึกชื่อดังของเมืองคุมาโมโต้ มีเอกลักษณ์ด้วยการออกแบบและตกแต่งย้อนยุคให้มีบรรยากาศเหมือนเมืองโบราณในสมัยเอโดะ
ร้านค้าที่นี่มีค่อนข้างเยอะ และยังถูกจัดสรรพื้นที่อย่างเป็นระเบียบทำให้เดินง่ายและได้บรรยากาศไปด้วย นอกจากนั้นยังมีร้านอาหารจำนวนมากให้เลือกทานกันได้ด้วย
ร้านเด่นๆก็จะเป็นร้านขายของที่ระลึก และร้านขายขนมขึ้นชื่อของเมืองคุมาโมโต้ โดยเฉพาะของที่ระลึก ของสะสมที่เกี่ยวกับคุมะมงก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ Wakuwaku Za, Historical Culture Experience Facilityโดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีความพิเศษกว่าพิพิธภัณฑ์ทั่วไปคือ สิ่งของที่จัดแสดงอยู่นั้น คุณสามารถหยิบจับ หรือลองสวมชุดกิโมโนสวยๆที่โชว์ไว้ได้อีกด้วยโดยเสียค่าเข้าแค่300 เยน
วิธีการมายังที่นี่ คุณนั่งรถรางสาย 2 มาลงป้าย Shiyakucho Mae แล้วเดินต่ออีกประมาณ 7 นาที (แต่ถ้ามาจากปราสาทคุมาโมโต้ก็เดินมาได้เลย) ร้านที่นี่จะเปิดตั้งแต่ 9โมงเช้าถึง 18.00 น. แต่ร้านอาหารอาจเปิดถึง 4ทุ่มโดยไม่มีวันหยุด
สามมารถลองดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ทื่ http://www.sakuranobaba-johsaien.jp/
หลังจาก shopping กันจนเหนื่อยก็ได้เวลาที่ผมจะเดินทางไปยังเมือง Ureshino จังหวัด Saga โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อไปแช่น้ำแร่ออนเซนที่ดีที่สุด1 ใน 3 ของญี่ปุ่นที่เมืองนี้
เมืองออนเซน Ureshino , Saga
ออนเซนที่ผมจะไปแช่ และเป็นที่พักของผมในคืนนี้ด้วยอยู่ในเมือง Ureshino จังหวัด Saga ซึ่งน้ำแร่ในเมืองอุเระชิโนะนี้ถือเป็นน้ำแร่ที่ดีที่สุด1 ใน 3 ของญี่ปุ่นเลยทีเดียว โดยน้ำแร่ที่เมืองนี้จะมีชื่อเสียงทางด้านทำให้ผิวพรรณสวย สุขภาพดี แถมน้ำบางแห่งของเมืองนี้ยังสามารถนำมาต้มได้ ว่ากันว่ามีผลดีต่อตับและตับอ่อน
เมือง Ureshino มีโรงแรมและรีสอร์ตน้ำแร่อยู่หลายแห่งแต่ที่ผมไปพักมีชื่อว่า Yukai Resort Ureshinokanซึ่งขอบอกเลยว่าดีมากๆ ทั้งห้องหับ การบริการ ออนเซนและโดยเฉพาะอาหาร ซึ่งอาหารที่นี่จะให้บริการเป็นแนวบุฟเฟย์ แต่ต้องบอกเลยว่าเป็นบุฟเฟย์แบบขุดเต็มคุณภาพและรสชาติอร่อยมากๆ ซึ่งผมได้เขียนให้คุณอ่านค่อนข้างละเอียดแล้วในตอน โรงแรม Yukai Resort Ureshinokan , เมือง Ureshima ,Saga , ประเทศญี่ปุ่น
เมื่อผมไปถึงรีสอร์ท ระหว่างรอเช็คอิน ผมก็ไปนั่งแช่เท้าเล่นๆหน้ารีสอร์ทซึ่งมีให้บริการฟรี และหลังจากที่ Check in เรียบร้อยแล้ว ผมก็ไปเลือกชุดยูคาตะซึ่งความพิเศษของยูคาตะที่นี่คือมีหลายสี หลายแบบ หลาย sizeให้เลือกได้ตามใจชอบเลยครับ


ห้องพักที่นี่มีความสะดวกสบายมากซึ่งตอนที่ผมไปถึง เนื่องจากค่อนข้างเย็นแล้วแม่บ้านเลยมาปูเตียงไว้เรียบร้อยแล้ว
ผมนั่งเล่น นอนเล่น รอเวลาจนถึงเวลาทานอาหารเย็น เพราะอยากทานอาหารให้เรียบร้อยก่อนซึ่งต้องบอกเลยว่าอาหารเย็นที่นี่มีความเว่อวังมาก ดีงามมากครับ
อย่างที่ผมเกริ่นไปตอนแรกนะครับ ว่าอาหารของที่นี่เป็นบุปเฟย์ ซึ่งเวลาถ้าคุณมาพักโรงแรมแบบนี้และอยากได้แบบเป็นเซตเป็นชุดๆ สวยงามก็สามารถสั่งได้ครับ แต่สำหรับผม สารภาพเลยว่าชอบแนวบุฟเฟย์มากกว่า เพราะเวลามาเป็นชุด แม้จะสวยน่าทานแต่ก็มักจะไม่ค่อยอิ่ม 555
เวลาที่อยากทานอาหารชุดแบบสวยงามผมจึงนิยมไปทานในร้านแบบไคเซกิเป็นเรื่องเป็นราวมากกว่า
สำหรับบุฟเฟย์ที่นี่ต้องถือว่าดีงามจริงๆ ไม่ได้เยอะแค่ปริมาณแต่คุณภาพก็คับแก้ว
นอกจากนั้นแต่ละวันจะมีเมนูพิเศษที่มีการแห่แหนมากันอย่างใหญ่โต ตอนแรกๆก็งงครับว่าเขาแห่อะไรกันมาเพราะฟังไม่รู้เรื่อง แต่มารู้ทีหลังว่าเป็นเมนูพิเศษประจำวัน ซึ่งวันนั้นเป็นเมนูของหวานครับแต่ผมก็ไม่ทราบว่ามันคืออะไร รู้แค่ว่ามันอร่อยดี 555
คืนนั้นผมกินชนิดที่ว่ากินชาตินี้อิ่มถึงชาติหน้า555
หลังจากอิ่มอร่อยเรียบร้อยแล้วผมก็ไปเดินเล่นในโรงแรมนิดหน่อยเพื่อให้อาหารย่อย จนได้เวลาสมควรผมก็ไปออนเซนซึ่งอยู่ชั้นเดียวกับ Lobby เลยครับ
ห้องออนเซนที่นี่ออกแบบมาดีมาก ดูสะอาด ทันสมัยมากเลยครับ

ในส่วนของน้ำแร่นั้น คุณคงพอจะทราบว่าผมเป็นคนชอบแช่ออนเซนมาก (ขนาดเวลาจองโรงแรมในเมือง ผมยังพยายามหาโรงแรมที่มีออนเซน) หลังได้ลองแช่น้ำแร่ของเมือง Ureshino แล้ว ผมต้องยอมรับเลยว่าน้ำแร่ที่นี่ดีจริงๆ สมกับที่ติด 1 ใน 3 น้ำแร่ที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น เพราะเวลาแช่แล้วผิวจะลื่นๆ เหมือนมีอะไรเมื่อเคลือบอยู่ (ลองสังเกตได้ครับ) ต่างกับน้ำแร่หลายๆที่ๆ แช่แล้วเหมือนกับแช่น้ำร้อนธรรมดา
ผมใช้เวลาแช่นานพอสมควร โดยแช่สลับกันการมาอาบน้ำเย็นซึ่งคนญี่ปุ่นเชื่อว่าจะทำให้ร่างกายแข็งแรง เมื่อกลับมาถึงห้องก็ล้มตัวลงนอนสลบไปเลยครับ เพราะวันนี้ถือว่ากิจกรรมค่อนข้างเยอะเหมือนกัน พอได้มาแช่น้ำแร่ดีๆ แบบนี้ร่างกายเลยรู้สึกสบายตัว ผ่อนคลายและก็หลับสนิทไปทั้งคืนเลยครับ

จดหมายฉบับหน้าผมจะพาคุณไปเที่ยวกันต่อโดยมี Highlight ที่ ศาลเจ้ายูโทคุ อินาริ ที่มาโด่งดังมากๆจากละครเรื่อง กลกิโมโน ที่ออกอากาศทางช่อง 3และพาคุณกลับเข้าเมืองฟุกุโอกะไปชมพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ที่ดีมากๆแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น
รอติดตามอ่านนะครับ
อยากให้คุณไปอยู่ตรงนั้นด้วยกัน
รักและคิดถึง
Mgastronome
One thought on “Review ทริปเที่ยวบ้านเกิดคุมะมง Kumamoto – Saga – Fukuoka ประเทศญี่ปุ่น Part 4 : Kumamoto – Ureshino , Saga”