ถึง…เธอ
หลังจากเมื่อคืนผมได้หลับสนิทเพราะได้ทานมื้อเย็นแบบเว่อวังจัดเต็ม แถมได้แช่น้ำแร่ที่ขึ้นชื่อว่าดีที่สุด 1 ใน 3 ของญี่ปุ่นที่เมืองซากะแห่งนี้ เช้านี้ผมก็รีบตื่นค่อนข้างเช้าเพราะผมต้องการไปแช่น้ำแร่ของที่นี่อีกครั้งซึ่งผมยังคงยืนยันว่าน้ำแร่ที่นี่มีความแตกต่างจากน้ำแร่ที่อื่นจริงๆ คือระหว่างอาบจะสังเกตได้ว่าผิวเราจะลื่นๆเหมือนมีอะไรเคลือบอยู่ซึ่งเป็นคุณสมบัติพิเศษของน้ำแร่แห่งนี้ที่เชื่อว่าแช่แล้วจะทำให้ผิวดี
หลังจากอาบน้ำแร่นานพอสมควรผมก็ขึ้นมาแต่งตัวและไปทานบุปเฟย์มื้อเช้าซึ่งยังเว่อวังอลังการเหมือนเคย มีอาหารให้เลือกทานเยอะมากๆ ดังที่ผมได้เคยเขียนมาเล่าไว้แล้วในตอน โรงแรม Yukai Resort Ureshinokan , เมือง Ureshima ,Saga , ประเทศญี่ปุ่น
โดยเฉพาะความพิเศษที่ทุกโต๊ะจะมีเตาเล็กๆ ให้คุณสามารถนำปลาซาบะ หรือปลาแซลมอนมาย่างทานกันสดๆ กินกับแบบร้อนๆเลย เป็นอะไรที่ผมประทับใจมาก

หลังจากอิ่มกันแล้วก็ได้เวลา check out เพื่อไปสถานที่ท่องเที่ยวแรกของวันนี้นั่นคือศาลเจ้ายูโทคุ อินาริ ซึ่งศาลเจ้านี้มาโด่งดังเป็นที่รู้จักของคนไทยมากๆก็ตอนที่ถูกใช้เป็นฉากในละครทางช่อง3 เรื่องกลกิโมโน ที่นำแสดงโดยพี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ของเรานั่นเอง

ศาลเจ้ายูโทคุ อินาริ (Yutoku Inari Shrine)
เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ของเมือง Saga ที่มีอายุหลายร้อยปี โดยเป็นที่ประทับของเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ที่คนญี่ปุ่นนิยมมาขอพรเรื่องพืชผลทางการเกษตรและการทำธุรกิจต่างให้ประสบความสำเร็จ รวมทั้งการป้องกันอุบัติเหตุด้วย
ศาลเจ้ายูโทคุ อินารินั้นถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1688 โดยเป็นศาลเจ้าประจำตระกูลนาเบะชิมะ (Nabeshima) ซึ่งเป็นผู้ปกครองเมืองซากะในสมัยเอโดะ ศาลเจ้าแห่งนี้ถือเป็นศาลเจ้าในนิกายชินโต และถูกสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่เทพอินาริ ซึ่งศาลเจ้ายูโทคุ อินาริแห่งนี้ถือเป็นศาลเจ้าอินาริที่ใหญ่และสำคัญเป็นอันดับ 3 ในญี่ปุ่น รองมาจาก ศาลเจ้า Fushi-mi Inari ใน Kyotoและศาลเจ้า Kasama Inari ใน Ibaraki
จากจุดจอดรถ ผมเดินข้ามฝั่งไปอีกด้านโดยต้องข้ามสะพานไม้สีแดงข้ามคลองเล็กๆ และจากทางเข้าศาลเจ้ายูโทกุ อินะริ (Yutoku Inari) คุณจะเห็นรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกตั้งอยู่ทั้งสองด้าน ซึ่งตำนานพื้นบ้านเชื่อว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีหน้าที่นำสาส์นของเทพเจ้ามาแจ้งแค่มวลมนุษย์
ตามธรรมเนียมของญี่ปุ่น ก่อนเข้าไปไหว้ขอพรในศาลเจ้าก็ต้องล้างมือจากบ่อน้ำด้านหน้าเสียก่อน และเมื่อล้างมือ ล้างหน้าเรียบร้อยแล้ว ก็จะต้องเดินข้ามสะพานไม้สีแดงอีกครั้งเพื่อเข้าสู่ศาลเจ้าอย่างเป็นทางการ ซึ่งบริเวณก่อนข้ามสะพานไม้แห่งนี้จะเป็นจุดถ่ายรูปที่สวยมากๆจุดหนึ่งเนื่องจากเป็นจุดที่คุณจะได้เห็นโครงสร้างเสาไม้สีแดงสดที่เป็นฐานรองของศาลเจ้าที่ลดหลั่นไปบนเขา เป็นภาพที่สวยงามและเป็นเอกลักษณ์ของศาลเจ้านี้ที่ไม่เหมือนที่ไหน

ด้านล่างของศาลเจ้าจะมีจุดที่ให้คุณได้สักการะกันก่อนหนึ่งจุด ก่อนที่คุณจะต้องเดินขึ้นไปบนเขาเพื่อไปสักการะเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้าแห่งนี้ที่อยู่ด้านบน
หลังจากสักการะศาลจเา้ที่จุดแรกด้านล่างแล้วก็ต้องเดินขึ้นบันไดเพื่อไปสักการะเทพเจ้าหลักของศาลเจ้าที่อยู่ด้านบนครับ
จากศาลเจ้าด้านบน ถ้าคุณเดินขึ้นไปเรื่อยๆ จะมีอุโมงค์เสาโทริอิสีแดงสดอยู่เป็นระยะๆ ให้คุณเก็บภาพสวยๆได้
ถ้าเดินขึ้นไปเรื่อยๆ จะยังมีเสาโทริเอะและศาลเจ้าเล็กๆย่อยๆอีกจำนวนมากให้สักการะไปตลอดทางเลย
นอกจากนั้นจากด้านบนของศาลเจ้าหลักจะเป็นจุดชมวิวที่สวยงามมากอีกจุดหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีดอกซากุระบาน หรือใบไม้เปลี่ยนสี จุดนี้ก็เป็นจุดถ่ายรูปวิวทิวทัศน์แถวนี้ได้สวยงามมากๆ เลยทีเดียว
ศาลเจ้ายูโทคุ อินาริ (Yutoku Inari Shrine) เปิดให้เข้าชมฟรีและเปิดทุกวันโดยคุณสามารถเริ่มต้นเดินทางจากสถานีJR Hizen Kashima แล้วก็ข้ามถนนมาที่ Kashima Bus Centerที่อยู่ใต้ตึก Yutoku แล้วไปรอรถบัสที่ Plaform 3 โดยการเดินทางจาก Kashima Bus Center มายังศาลเจ้าจะใช้เวลาประมาณ 15 นาที
หลังจากชื่นชมความสวยงามและไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันแล้ว พวกผมก็ตรงไปเข้าเมืองฟุกุโอกะ โดยจุดหมายแรกในเมืองฟุกุโอกะของผมคือตึก Fukuoka Tower
Fukuoka Tower
เป็นแลนด์มาร์กและจุดชมวิวที่สวยที่สุดของเมือง Fukuoka โดยตึกแห่งนี้มีความสูงถึง 234 เมตร เป็นหอคอยริมทะเลที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2532 ดังนั้นจากจุดชมวิวบนตึกนี้จึงสามารถมองเห็นเมืองฟุกุโอกะรวมทั้งอ่าวได้แบบ 360 องศาเลย
นอกจากความสูงแล้วความพิเศษของตึกแห่งนี้คือเป็นตึกที่มีจุดเด่นที่ภายนอกของตัวตึกซึ่งประดับด้วยเมจิกมิลเลอร์ถึง 8000 แผ่นเลยทีเดียว
ค่าเข้าชมวิวจาก Fukuoka Tower จะมีค่าใช้จ่าย 800 เยน แต่วันนี้ผมไม่ได้จะขึ้นไปชมวิวนะครับ ผมแค่มาชมตึกและถ่ายรูปจากด้านนอกและมาทานมื้อเที่ยงกันที่นี่เฉยๆ เนื่องจากเวลาไม่เอื้ออำนวยเพราะผมอยากไปใช้เวลาที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ที่เพิ่งเปิดใหม่ล่าสุดในเมือง Fukuoka มากกว่า
หลังจากทานมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว ผมก็ออกถ่ายรูปคู่กับตัวตึกนิดหน่อยซึ่งถ้าคุณเดินออกมาจากตึก เดินมาเรื่อยๆ จะเจอจุดที่ทางตึกได้ Mark จุดเอาไว้ว่าถ้าเรามายืนตรงจุดนี้จะสามารถถ่ายรูปเราพร้อมกับเก็บภาพตัวตึกได้ทั้งตึกกันเลยทีเดียว
นอกจากการมาชมวิวและถ่ายรูปกับตึกแล้วที่บนชั้น 2 ของตึกแห่งนี้จะมีห้องจัดแสดงและขายสินค้าที่เกี่ยวเทคโนโลยีหุ่นยนต์ที่ชื่อว่า Robosquare อยู่ด้วย หากคุณชอบนวัตกรรมเกี่ยวกับหุ่นยนต์ก็ลองไปชมได้นะครับ
จาก Fukuoka Tower ผมก็เดินทางไปต่อที่อีกหนึ่ง Highlight ของทริปในวันนี้นั่นคือพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ที่เพิ่งเปิดใหม่ล่าสุดสดๆร้อนๆ ในช่วงที่ผมเดินทางไปพอดี
Fukuoka City Science Museum
พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์เมืองฟุกุโอกะเป็นศูนย์แสดงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่เปิดใหม่เมื่อวันที่1 ตุลาคม ปี 2017 ตั้งอยู่ด้านบนของสถานีรถไฟRopponmatsu ของสายรถไฟนานาคุมะ ในตึกที่ชื่อว่า “Ropponmatsu 421”โดยเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใช้แนวคิด “SCIENCE & CREATIVE FUKUOKA” เพื่อสร้างสังคมและพื้นที่การเรียนรู้ให้แก่ผู้มาเยือนทั้งเด็กและผู้ใหญ่
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะอยู่ที่ชั้น 3-6 โดยแบ่งเป็น….
ชั้น 3 มีพื้นที่อเนกประสงค์ต่างๆ เช่น ห้องนิทรรศการโปรเจค เป็นต้น
ชั้น 4 มี Science Navi กับห้องทดลอง
ชั้น 5 เป็นห้องจัดนิทรรศการพื้นฐาน
ชั้น 6 เป็นโดมเธียร์เตอร์ (ท้องฟ้าจำลอง)
หลังจากที่ไปเยี่ยมชมแล้ว ผมต้องยอมรับว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไม่ได้เหมาะแค่เด็ก แต่สำหรับผู้ใหญ่อย่างคุณกับผมก็ได้รับความรู้และความสนุกสนานไม่แพ้กัน เพราะมีกิจกรรมหลายๆอย่างเลยที่แม้แต่ผู้ใหญ่ก็เล่นและหาความรู้ได้แบบไม่เครียดด้วย ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับครอบครัวที่ดีมากๆเลยในเมืองฟุกุโอกะ



Fukuoka City Science Museum จะเปิดให้บริการทุกวัน ยกเว้นวันอังคาร แต่ถ้าวันอังคารไหนตรงกับวันหยุด พิพิธภัณฑ์ก็จะปิดในวันถัดไป รวมทั้งวันหยุดตามเทศกาลต่างๆ โดยเริ่มให้บริการตั้งแต่ 9.30 – 21.30 น ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ 500 เยน นักเรียนนักศึกษา 200 – 300 เยน ซึ่งรายละเอียดของค่าเข้าชมและข้อมูลอื่นๆคุณสามารถเข้าไปหาข้อมูลกันได้ครับที่ https://www.fukuokacity-kagakukan.jp/

ได้ความรู้กันแล้ว คราวนี้ก็ได้เวลาละลายเงินในกระเป๋าบ้าง
Canal City Hakata
ห้าง Canal City เป็นห้างที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากๆ ของเมืองฟุกุโอกะนี้โดยเริ่มก่อสร้างเมื่อปี1996 โดยจุดที่ทำให้ห้างนี้มีชื่อเสียงก็ด้วยการออกแบบให้มีคลองไหลผ่านกลางห้าง ( เลยได้ชื่อว่า Canal City) นอกจากนั้นยังมีร้านค้ามากมายหลายร้อยร้านให้เลือกช็อป โดยชั้นสุดจะมี DutyFree ให้คุณได้ไปซื้อสินค้าปลอดภาษีกันกด้วย ซึ่งวันที่ผมไปมีนักท่องเที่ยวชาวจีนแน่นร้านเลยแม้ร้านจะกินพื้นที่กว้างขวางทั้งชั้น แถวรอจ่ายตังค์นี่ยาวเหยียดจนหมดอารมณ์ช็อปเหมือนกัน

ส่วนถ้าคุณเป็นคนที่ชอบราเมงเป็นชีวิตจิตใจก็ต้องไม่พลาดชั้น 5 ของห้าง Canal city แห่งนี้ เพราะบนชั้นนี้จะมี Ramen Stadium ที่รวบรวมร้านราเมงดังๆ จากทั่วสารทิศมารวมกันไวเ ดังนั้นถ้าคุณเป็นแฟนราเมงต้องห้ามพลาดเลยครับ
ช็อปกันจนกระเป๋าเบา ท้องก็ว่างแล้ว ผมก็ไปทานมื้อเย็นกันซึ่งมื้อเย็นมื้อนี้เป็นบุฟเฟย์ชาบู ซึ่งผมต้องขออภัยคุณด้วยเพราะไม่รู้ชื่อร้านภาษาอังกฤษเลยไม่ทราบจะบอกชื่อร้านกับคุณอย่างไรดี

ที่ร้านนี้มีการแบ่งที่นั่งทานเป็น Zone มีทั้งแบบ Private จะมีลักษณะเป็นห้องๆ นั่งได้ห้องละ 4 คน และด้านในสุดจะที่ Zone ของที่นั่งรวม
ส่วนความพิเศษของชาบูที่นี่คือการจัดชุดชาบูโดยเอาหมู หรือเนื้อแล้วแต่สั่งมาเรียงกันเป็นยอดภูเขาและจะมีผัดต่างๆ หนุนอยู่ด้านล่าง เมื่อน้ำเดือนภูเขาหมูแผ่นนี้จะค่อยๆละลายลงไปในน้ำ เป็นการจัด Presentationของอาหารที่น่าทานมากๆ หลังจากที่นั่นคุณก็สามารถสั่งหมู สั่งผักมาเติมได้เรื่อยๆครับ ซึ่งนอกจากหน้าตาอาหารของที่นี่จะดูดีแล้ว รสชาติก็อร่อยมากๆ ด้วย

อิ่มกันแล้วก็ได้เวลากลับไปที่พักในฟุกุโอกะของผมในคืนนี้ซึ่งผมได้เขียนถึง Review โรงแรม Hermana Fukuoka Hotel , Fukuoka, Japan ไว้แล้วในฉบับที่แล้ว ว่าโรงแรมนี้แห่งนี้มีทำเลที่ดีมากๆๆๆ เรียกว่าอยู่บนถนนเทนจิน ถนน Shoppingชื่อดังของฟุกุโอกะที่มีร้านค้า ร้านอาหาร และห้างสรรสินค้า เรียงรายไปตลอดทั้งแนวถนน แถมยังใกล้กับแห่งท่องเที่ยวอื่นๆในเมืองแบบเดินไปได้ด้วย
ห้องของโรงแรมก็สะดวกสบาย มีขนาดพอสมควร เรียกว่าใช้ได้เลยครับ
สำหรับเรื่องเล่าทริปเที่ยวบ้านเกิดคุมะมง Kumamoto – Saga – Fukuoka ประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 3 ของผมก็คงจบลงเพียงเท่านี้ จดหมายฉบับหน้าผมจะเขียนมาเล่าถึงประสบการณ์ท่องเที่ยวในเมืองฟุกุโอกะเป็นวันสุดท้าย โดยมีไฮไลท์ที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่ใหญ่โตเว่อวังของฟุกุโอกะ ที่ถ้าคุณมีโอกาสก็ไม่อยากให้พลาดเลย รวมทั้งจะพาคุณไปชิมราเมงข้อสอบ หรือ Ichiran Ramen ที่สาขาแรก เป็นสาขา Original ที่ถือกำเนิดขึ้นในเมือง Fukuoka แห่งนี้ครับ


แล้วรอติดตามอ่านนะครับ
อยากให้คุณไปอยู่ตรงนั้นด้วยกัน
รักและคิดถึง
Mgastronome
One thought on “Review ทริปเที่ยวบ้านเกิดคุมะมง Kumamoto – Saga – Fukuoka ประเทศญี่ปุ่น Part 5 : Saga – ศาลเจ้ายูโทคุ อินาริ – Fukuoka Tower – Fukuoka City Science Museum – Canal City”