ถึง…เธอ
ช่วงนี้ในระหว่างที่โรค Covid-19 กำลังระบาดอย่างน่ากลัว มีผู้ติดเชื้อทั่วโลกในขณะที่ผมเขียนจดหมายนี้แล้วกว่า 32 ล้านคนและมีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 1 ล้านคน ที่สำคัญตัวเลขนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจนกว่าจะหาวัคซีนได้
ท่ามกลางการระบาดของทั่วโลก ประเทศไทยกลับกลายเป็นประเทศที่ปลอดภัย และสามารถรับมือกับการระบาดได้ดี ดังนั้นเมื่อการเดินทางไปต่างประเทศมีทั้งความเสี่ยงและยากลำบาก ผมเลยขอเขียนจดหมายมารีวิวให้คุณอ่านถึงทริปภายในประเทศกันบ้าง
สำหรับทริปที่ผมจะเขียนมาเล่าให้อ่านนี้เป็นทริปที่ผมเดินทางไปจังหวัดเชียงราย และ เชียงใหม่กับครอบครัวเมื่อต้นปี 2020 นี่เองซึ่งเป็นช่วงที่ข่าวการระบาดในประเทศจีนเริ่มขึ้นแล้ว แต่สำหรับประเทศไทยตอนนั้นก็ยังถือว่าปลอดภัยอยู่ แต่ช่วงที่ผมเดินทางไป นักท่องเที่ยวจีนก็บางตาไปมากเลยทีเดียว
ผมเริ่มต้นทริปด้วยการบินไปลงที่สนามบินเชียงราย โดยมีคนขับรถตู้ที่ผมเช่าเอาไว้มารอรับคณะของผมอยู่แล้ว
ในทริปนี้ผมพยายามจัดทริปเอาใจผู้สูงวัยซึ่งก็คือคุณแม่ของผมเอง ท่านเป็นคนที่ชอบสถานที่ท่องเที่ยวแนวธรรมชาติ โดยเฉพาะวัดวาอาราม และสถานที่ๆมีดอกไม้เยอะๆ ท่านจะถูกใจเป็นพิเศษ ดังนั้นทริปเชียงราย เชียงใหม่ 3 วัน 2 คืนของผมในครั้งนี้ จึงเน้นไปที่วัดวาอาราม และสวนดอกไม้เป็นส่วนใหญ่
ตอนที่ผมมาถึงจังหวัดเชียงราย อุณหภูมิกำลังเย็นสบายเลยครับ คือประมาณ 17 องศาเท่านั้น โดยสถานที่แรกที่ผมไปเยือนเป็นสถานที่ๆใครมาเชียงรายแล้วไม่แวะไปเยี่ยมชมต้องถือว่าพลาดมากๆ นั่นคือ วัดร่องขุน ครับ
ผมไปถึงวัดร่องขุน โดยคนขับนำรถไปจอดที่ลานจอดด้านหลัง เราเลยเริ่มเข้ามาจากทางนั้น แค่เข้าไปในพื้นที่วัดก็ได้เห็นความยิ่งใหญ่ สวยงามของวัดนี้เลย คือขนาดเห็นจากบริเวณด้านหลังยังรู้สึกได้ว่าเป็นวัดที่สวยมากๆ ยิ่งใหญ่มากๆ
การก่อสร้าง ประติมากรรมต่างๆ แลดูสวยงาม ชดช้อย แบบศิลปกรรมไทยที่หาชมที่ไหนได้ยาก ยิ่งเป็นวัดที่ใช้ที่ขาวเป็นสีหลักยิ่งทำให้วัดดูสวยงามแปลกตากว่าวัดอื่นๆอย่างมากเลยทีเดียว ที่สำคัญทำให้วัดเหมือนสถานที่ในสรวงสวรรค์ตามจินตาการของผู้สร้างด้วย
วัดร่องขุน
เป็นวัดที่ออกแบบและก่อสร้างโดยอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ซึ่งอยากจะสร้างวัดให้เหมือนเมืองสวรรค์ที่มนุษย์สัมผัสได้ เริ่มสร้างตั้งแต่ พ.ศ.2540 โดยวัดแห่งนี้อยู่ที่ตำบลป่าอ้อดอนชัย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นวัดบ้านเกิดของอาจารย์ เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ นั่นเอง
อาคารที่โดดเด่นที่สุดของวัดแห่งนี้คือพระอุโบสถหลักซึ่งสร้างได้อย่างอ่อนช้อย งดงามมาก โดยทางเดินไปยังพระอุโบสถเราจะต้องข้ามขุมนรก แหล่งรวมของวิญญาณที่เต็มไปด้วยกิเลศ ตัณหา และจะได้เดินข้ามสะพานที่เปรียบเสมือนการเดินข้ามจากโลกของวัฎสงสารสู่พุทธภูมิ
อาจารย์เฉลิมชัย ได้ใช้พุทธปรัชญามาเป็นหลักในการก่อสร้างดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นและเดินผ่านจึงมีความหมายทั้งสิ้น อาทิ
สีขาว หมายถึง พระบริสุทธิคุณของพระพุทธเจ้า
สะพาน หมายถึง การเดินข้ามจากวัฎสงสารสู่พุทธภูมิ
เขี้ยว หรือ ปากพญามาร หมายถึง กิเลสในใจ
สันของสะพาน หมายถึง มีอสูรอมกัน ข้างละ 8 ตัว 2 ข้าง รวมกันแทนอุปกิเลส 16
กึ่งกลางของสะพาน หมายถึง เขาพระสุเมรุดอกบัวทิพย์
4 ดอกบัวใหญ่ตรงทางขึ้นด้านข้างอุโบสถแทนซุ้มพระอริยเจ้า 4 พระองค์ คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์
บันไดทางขึ้น มี 3 ขั้น หมายถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เรียกว่าลึกซึ้งมากจริงๆ
เมื่อเข้าไปในพระอุโบสถแล้วจะเห็นการตกแต่งที่เรียบง่ายแต่มีความสวยงามและคติธรรมแฝงอยู่มากมาย โดยแค่ภาพวาดฝีมืออาจารย์ในโบสถ์แค่ได้เห็นก็คุ้มค่าแล้วครับ ซึ่งด้านในพระอุโบสถไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปนะครับ
นอกจากพระอุโบสถหลักแล้วที่วัดร่องขุนยังมีอาคารต่างๆที่สวยงามและน่าสนใจมากมาย อาทิ ห้องน้ำ ใช่คับ ห้องน้ำ ซึ่งใช้สีทอง แลดูมลังเมลืองจนไม่มีใครคิดว่าอาคารสีทองนี้จะคือห้องน้ำ
นอกจากนั้นมีบ่ออธิฐานจิต ที่ใครๆก็ไปขอพรและไปโยนเหรียญกันโดยเชื่อกันว่าถ้าหากโยนเหรียญลงไปอยู่ในดอกบัวได้ก็จะสมหวังครับ
ข้างๆกันก็มีต้นโพธิ์เงินให้เขียนคำอธิษฐานกันด้วย
ด้านหลังจะมีอาคารเปิดโล่ง ด้านข้างจะมีภาพวาดในหลวงรัชกาลที่ 9ตั้งแต่ทรงพระเยาว์จนมาถึงก่อนท่านจะสวรรคต ซึ่งต้องบอกให้คุณทราบว่าอาจารย์เฉลิมชัยมีความรักและศรัทธาในหลวงรัชกาลที่ 9 มาก (ผมก็เช่นกัน) เหตุผลหนึ่งในการสร้างวัดนี้เพราะท่านต้องการที่จะสร้างงานพุทธศิลป์ถวายเป็นงานศิลปะประจำรัชกาลพระองค์ท่านด้วยครับ
นอกจากนั้นยังนั้นในวัดแห่งนี้ยังมีสถานที่น่าดู น่าชมอีกเยอะมากเลยครับ และอย่างที่ผมเขียนเกริ่นเบื้องต้น ว่าช่วงที่ผมเดินทางไปนั้นข่าวคราวการระบาดของไวรัสนั้นเริ่มออกมาแล้ว นักท่องเที่ยวจีนเลยหายไปหมด นักท่องเที่ยวไทยก็ไม่เยอะมาก ผมจึงเดินดูมุมต่างๆของวัดได้แบบสบายเลยครับ
ถ้าเป็นช่วงปกติ วัดร่องขุนจะหนาแน่นไปด้วยผู้คน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ทำให้ถ่ายรูปมุมไหนก็ติดคนไปหมด ถือว่าในช่วงวิกฤติก็ยังมีโอกาสนะครับ
จากวัดร่องขุน เราก็ไปกันต่อที่สิงห์ปาร์คครับ
สิงห์ปาร์ค
หรือบางคนก็เรียกว่าไร่บุญรอด เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตร บนพื้นที่นับพันไร่ของบริษัทบุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด โดยมีบรรยากาศโอบล้อมด้วยภูเขา และ ธรรมชาติ เปิดให้เข้าชมครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2554 และต่อมาก็เปลี่ยนชื่อเป็น สิงห์ปาร์ค เชียงราย โดยมี Zoneต่างให้ให้แวะชมถึง 7 โซนได้แก่
จุดที่ 1 เนินสิงห์ ลานดอกไม้ ทุ่งหญ้าหลากสี ร้านค้า ร้านชา กาแฟ ประชาสัมพันธ์ ที่จอดรถ
จุดที่ 2 ทะเลสาบและหงส์ สวนพุทธา ทุ่งดอกไม้ป่า
จุดที่ 3 ไร่ชาอู่หลง เนินดอกไม้ และผลไม้นานาชนิด
จุดที่ 4 ทุ่งหญ้าและวิถีชีวิตสัตว์
จุดที่ 5 ศูนย์จักรยาน พื้นที่จัดงาน Farm Festival
จุดที่ 6 จุดชมวิว 360 องศา พาโนรามาวิวพ้อยท์ ชมวิวทิวทัศน์เทือกเขารอบทิศ
จุดที่ 7 โรงเรือนระบบควบคุมอุณหภูมิแปลงปลูกพืชผักเมืองหนาว
แต่เนื่องจากผมไม่ได้สนใจจะเข้าชมทุก Zone จึงใช้วิธีขับรถเข้าไปเองและแวะเฉพาะจุดที่สนใจ โดยจุดแรกที่ทำให้ต้องจอดรถตั้งแต่ทางเข้าคือทุ่งดอกคอสมอสสุดลูกหูลูกตา ก็เลยต้องแวะลงไปแชะภาพกันสักหน่อย
จากนั้นผมก็ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของฟาร์มเลยคือจุดชมวิวไร่ชา
ที่จุดชมวิวไร่ชาจะมีร้านชาไทย ซึ่งถ้าคุณเป็นสายชา ก็ต้องไม่พลาดนะครับ ชิมชาไทยดีๆ พร้อมชมวิวไปด้วย ได้บรรยากาศดีทีเดียว
หลังจากชมวิวไร่ชาพอกรุบกริบก็ได้เวลามื้อเที่ยงพอดี พวกผมเลยฝากท้องกันที่ร้านอาหารภูภิรมย์ ซึ่งอยู่บริเวณจุดชมวิวไร่ชาเลยครับ
ที่ร้านบรรยากาศค่อนข้างดีเลยเนื่องจากอยู่บนจุดสูงมากของไร่ จึงเห็นวิวได้รอบ
ส่วนอาหาร สำหรับผมถือว่าธรรมดานะครับ ไม่ได้พิเศษอะไร แต่ถ้าเทียบว่าทานไปด้วย ดูวิวไปด้วย อาหารก็เลยอร่อยขึ้นเยอะเลย 555
อิ่มทั้งวิว ทั้งอาหาร จากสิงห์ปาร์คแล้ว คนขับรถก็พาผมไปอีกวัดหนึ่งซึ่งไม่อยู่ในโปรแกรม เพราะผมไม่ได้แจ้งว่าจะไปวัดแห่งนี้เนื่องจากไม่รู้จัก และไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน แต่หลังจากได้ไปมาแล้ว ถ้าคุณมีโอกาสไปเชียงราย ผมขอบอกเลยว่าเป็นอีกวัดที่ไม่ควรพลาดครับ
วัดห้วยปลากั้ง
วัดห้วยปลากั้งตั้งอยู่ที่ตำบลริมกก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย พื้นที่ตั้งของวัดนี้เป็นพื้นที่ภูเขา รอบบริเวณวัดจะถูกรายล้อมไปด้วยเนินเขาอันเขียวขจีมากมาย
และไฮไลท์ที่สำคัญของวัดนี้ก็คือ พบโชคธรรมเจดีย์ เจดีย์เอกของทางวัดที่มีความสูงถึง 9 ชั้น มีรูปทรงที่แปลกตาที่หาชมไม่ได้ที่อื่น นอกจากนั้นยังเป็นวัดที่มีศิลปะแบบจีนผสมกับแบบล้านนาได้อย่างวิจิตรงดงาม
อีกหนึ่งไฮไลท์ของทางวัดก็คือ องค์เจ้าแม่กวนอิมขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยมีความสูงถึง 79 เมตร หรือเทียบเท่ากับตึกสูง 25-26 ชั้นเลยทีเดียว
เห็นความสูง และบันไดนับร้อยขั้นแล้ว ใครที่มาที่วัดแห่งนี้แล้วมีผู้สูงอายุมาด้วยก็ไม่ต้องกังวลนะครับ เพราะทางวัดมีบริการรถนั่งไปบนฐานเจ้าแม่กวนอิมด้วย
จากนั้นก็สามารถซื้อบัตร ไปรอลิฟต์ โดยมีบริกรสุดหล่อ 555คอยกดลิฟต์ให้ คุณก็สามารถขึ้นไปด้านบนเพื่อชมงานศิลปะภายในเจ้าแม่กวนอิม และชมวิวรอบๆจากมุมสูงได้
หลังจากขึ้นไปชมความงามภายในเจ้าแม่กวนอิมแล้ว พอลงมาด้านล่างก็ออกมาชมมุมมองจากด้านนอกบ้าง ต้องบอกว่าทั้งยิ่งใหญ่ ทั้งสวยจริงๆครับ
จากนั้นผมก็ลงมาชมความงามในโบสถ์ซึ่งก็สร้างแนวสีขาวแบบวัดร่องขุน ซึ่งฝีมือความประณีตในการสร้างก็ไม่แพ้กันเลยครับ
อย่างที่บอกครับว่าถ้าคุณมีโอกาสมาเชียงราย ต้องเพิ่มวัดนี้เข้าไปในลิสต์ด้วยเลย
มาถึงวัดที่ 3 ของวันนี้
ต้องบอกว่าเป็นวัดที่พลาดไม่ได้เหมือนกันครับเพราะเป็นวัดที่โด่งดังมาก ไม่ใช่แค่ชาวไทย แต่โด่งดังระดับโลกเลย
วัดร่องขุน เป็นวัดที่ได้ฉายาว่า The white temple วัดที่ผมกำลังจะเขียนถึงก็มีฉายาว่า Blue Temple ครับ
วัดร่องเสือเต้น
ตั้งอยู่ที่ ต.ริมกก อ.เมือง จ.เชียงราย เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2548 แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2559 โดยฝีมือการรังสรรค์ของศิลปินชาวบ้าน นายพุทธา กาบแก้ว หรือ สล่านก ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของ อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ปี พ.ศ. 2554 โดยมีประสบการณ์การสร้างวัดจากเมื่อครั้งที่ช่วยสร้างวัดร่องขุ่น ต่อมาเมื่อมีโอกาสท่านจึงได้นำความรู้และประสบการณ์มาประยุกต์ใช้ จนเกิดเป็นวัดร่องเสือเต้นที่โด่งดังไม่แพ้กันในที่สุด
นอกจากแรงบันดารใจแนวศิลปะจากอาจารย์เฉลิมชัยแล้ว ยังอีกจุดที่ไม่เขียนถึงไม่ได้นั่นคือส่วนของพญานาคหน้าวิหารที่ได้แนวศิลปะของอาจารย์ ถวัลย์ ดัชนี มาสร้าง ดังนั้นจะมีทั้งความดูดุดัน น่าเกรงขาม แต่ก็มีความอ่อนช้อยตามรูปแบบศิลปะล้านนาด้วย
ไฮไลท์ของวัดร่องเสือเต้นอยู่ที่ “พระอุโบสถ”ที่ภายนอกออกแบบด้วยศิลปะแบบไทยประยุกต์ ใช้โทนสีน้ำเงินตัดกับสีทอง
ส่วนภายในเต็มไปด้วยจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพุทธประวัติ โดดเด่นด้วยลายเส้นอันอ่อนช้อย แต่ยังคงใช้สีน้ำเงินเป็นสีหลักของภาพทำให้ทั้งอุโบสถออกมาเป็นสีน้ำเงินสดที่สวยงามมาก
ด้านในมีพระประธานสีขาวมุก ขนาดหน้าตักกว้าง 5 เมตร สูง 6.5 เมตร โดยมีพระรอดลำพูน 88,000 องค์ และแก้วแหวนเงินทองมากมายถูกฝั่งอยู่ใต้ฐาน นอกจากนี้ยังมีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุอยู่บริเวณพระเศียรอีกด้วย ได้รับพระราชทานนามจากสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ว่าพระพุทธรัชมงคลบดีตรีโลกนาถ ที่หมายความว่า พระพุทธเจ้าทรงเป็นมงคล เป็นราชา เป็นที่พึ่งในสามโลก
นอกจากนั้นภายในวัดยังมีพระธาตุเกศแก้วจุฬามณีห้าพระองค์ ขนาดสูง 20 เมตร โดยบนยอดได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่ได้รับมาจากสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ไว้เช่นกัน
ภายในวัดยังมีมุมสวยๆให้เดินดูและถ่ายรูปอีกมาก เป็นวัดที่ถ้ามาเชียงรายก็พลาดไม่ได้อีกวัดเช่นกันครับ
มาถึงจุดหมายสุดท้ายของวันนี้ อย่างที่เขียนเล่าไว้ตอนต้นครับว่านอกจากวัดแล้ว อีกสถานที่ท่องเที่ยวที่คุณแม่ของผมชอบคือสถานที่ๆมีดอกไม้เยอะๆ ผมจึงจัดโปรแกรมนี้ไว้สุดท้ายของวันนั่นคือการไปชมดอกไม้ที่พระตำหนักดอยตุงครับ
พระตำหนักดอยตุง
พระตำหนักดอยตุงนั้นมีพื้นที่กว้างขวางมาก ดังนั้นจึงมีการแบ่ง zone ต่างๆ ให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ ดังนั้นเราจึงสามารถเลือกซื้อบัตรเข้าชมเป็นบางโซน หรือจะซื้อบัตรแบบเหมารวมเพื่อเข้าชมทั้งหมดก็ได้ ซึ่งแน่นอน ราคาย่อมถูกกว่าครับ
โซนแรกที่ผมจะเข้าไปชมคือ สวนแม่ฟ้าหลวง เป็นสวนดอกไม้เมืองหนาวในหุบเขา สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2535 มีการปลูกดอกไม้หมุนเวียนสลับให้ออกดอกไม่ซ้ำกันตลอดสามฤดู
ภายในสวนมีการจัดดอกไม้รูปแบบต่างๆ และแบ่งประเภทของดอกไว้ให้ชมแบบหลากหลายมาก ถ้าคุณเป็นคนรักดอกไม้ต้องถูกใจแน่นอน
นอกจากนั้นยังมีประติมากรรมสื่อผสมที่ชื่อ โต ซึ่งเป็นสัตว์ในตำนานของชาวไทใหญ่ มีลักษณะหัวเหมือนกวาง ตัวเหมือนสิงโต. ชาวไทใหญ่เชื่อว่าโตคือตัวแทนของความสิริมงคลและความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า
ถ้าคุณเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆจะเจอส่วนที่สำคัญที่สุดของสวนซึ่งมีลักษณะเป็นพื้นที่วงกลมขนาดใหญ่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพรรณ ล้อมรอบประติมากรรมที่อยู่ตรงกลางชื่อ “ความต่อเนื่อง” ซึ่งเป็นรูปเด็กยืนต่อตัวกันที่กลางสวน
หลังจากเดินชมดอกไม้ในสวน ผมก็มาพักเหนื่อยที่ร้านดอยตุง เติมพลังกันก่อนจะเดินขึ้นชมพระตำหนักดอยตุงซึ่งเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จย่าครับ
“พระตำหนักดอยตุง” ปลูกสร้างขึ้นมาในกลิ่นอายล้านนาผสมผสานกับความเรียบง่าย และรายล้อมด้วยต้นไม้ดอกไม้นานาพันธุ์ด้วยพระราชดำริของ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีที่ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สร้าง “บ้านหลังแรก” ของพระองค์หลังนี้ขึ้นมา เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2530 เพื่อที่จะได้ทรงแปรพระราชฐานมาทรงงานที่นี่
พระตำหนักแห่งนี้มีลักษณะเด่นทางสถาปัตยกรรมเป็นศิลปะแบบล้านนา ที่เป็นบ้านปีกไม้ มีกาแล ผสมกับลักษณะบ้านพื้นเมืองของชาวสวิตเซอร์แลนด์ที่เรียกว่า ชาเลต์ (Swiss Chalet) โดยมีไม้แกะสลักเป็นเชิงชายลายเมฆไหลอ่อนช้อย เน้นความเรียบง่าย
พระตำหนักดอยตุงเปิดให้เข้าชมทุกวันเวลา 07.00-17.30 น. โดยคุณจะสามารถเข้าชมห้องบรรทมและห้องทรงงานได้ แต่ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปใด ๆ และไม่อนุญาตให้ใส่ขาสั้นเข้าชมครับ โดยด้านหน้าจะมีกางเกงแบบทางเหนือให้เปลี่ยนซึ่งใส่แล้วผมชอบมากจนอยากจะขอซื้อกลับบ้านเลย
ผมใช้เวลาเดินชมพระตำหนักพอสมควรเลยครับ โดยใช้เครื่องบรรยาที่ทางทางพระตำหนักเตรียมไว้ให้ ไปถึงจุดไหน เราก็กดหมายเลข จากนั้นก็จะมีเสียงบรรยายถึงพื้นที่ส่วนนั้นให้ทราบ
การจัดเส้นทางและสิ่งต่างๆที่จัดแสดงทำได้ดี และน่าสนใจมากเลยครับ ไม่ผิดหวังที่มาชมเลย แถมดอกไม้ในพระตำหนักก็สวยมากๆ
หลังจากวันนี้พวกผมก็เที่ยวมาทั้งวันจนเย็นแล้วก็ได้เวลาไปเข้าที่พักครับซึ่งผมตั้งใจเลือกที่พักที่อยู่บนเขาสูงเพื่อให้ได้บรรยากาศความสวยงามของธรรมชาติและความเย็นสบายของอากาศ ผมจึงเลือกที่พักที่มีชื่อเสียงพอสมควรของเชียงรายนั่นคือ ภูใจใสรีสอร์ทครับ ซึ่งผมเขียนเคยรีวิวไว้แล้วที่ Review ภูใจใส เมาน์เท่น รีสอร์ต (Phu Chaisai Mountain Resort) จังหวัดเชียงราย
แม้ราคาจะแพงไปสักนิดแต่นานๆ พาแม่เที่ยวทีก็อยากให้แม่ประทับใจเป็นพิเศษครับ
ผมไปถึงที่พักเอาตอนเย็นมากๆแล้ว ซึ่งตัวรีสอร์ทก็อยู่บนเขาสูงจริงๆ เรียกว่าถ้าเข้าไปแล้วก็บลืมการออกมาข้างนอกเลย ผมว่าคงไม่สะดวก เพราะฉะนั้นใครต้องการใช้หรือทานอะไรระหว่างพักที่นี่ควรซื้อมาให้เรียบร้อย โดยเฉพาะน้ำเปล่า และน้ำต่างๆเพราะราคาในรีสอร์ทค่อนข้างแรงเลยทีเดียวครับ
สำหรับรีสอร์ทแห่งนี้ผมชอบการตกแต่งที่ดูเป็นธรรมชาติมากๆ โดยเฉพาะต้นไม้ที่ปลูกไว้บนหลังคาของอาคารทุกอาคารตั้งแต่ Lobbyเลย เป็นรูปแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้รู้สึกเหมือนเราอยู่ในธรรมชาติจริงๆ
ส่วนห้องนั้นก็เป็นตกแต่งเหมือนบรรยากาศในกระท่อม แต่เป็นแบบ Hiso นะครับ 555 อุปกรณ์เน้นการใช้ไม้เป็นหลัก ห้องน้ำอะไรต่างๆก็ดูเรียบง่าย แต่ที่ชอบมากๆคือระเบียงที่ทำให้เห็นวิวป่าแบบไม่มีอะไรบัง รู้สึกสดชื่นมากๆ ครับ
หลังจากเก็บข้าวของหมดแล้ว ผมก็ออกไปเดินสำรวจดูส่วนต่างๆของรีสอร์ท ทั้งสระว่ายน้ำ และโดยเฉพาะพื้นที่ส่วนของร้านอาหารซึ่งตกแต่งแบบธรรมชาติได้สวยมากครับ
เนื่องจากผมมาถึงที่นี่ค่อนข้างใกล้ค่ำแล้ว ผมจึงฝากท้องมื้อเย็นไว้ที่นี่เลย ซึ่งราคาค่อนข้างแรงเลยครับ อาหารก็รสชาติธรรมดา ถ้าให้แนะนำ ผมแนะนำให้ทานจากข้างนอกมาก่อนครับ
จดหมายฉบับหน้าผมจะเขียนมาเล่าต่อถึงการเดินทางในทริป เชียงราย เชียงใหม่ 3 วัน 2 คืน ให้คุณอ่านอีกในวันที่ 2 ซึ่งผมจะเที่ยวไร่ชาในเชียงราย และจะตีรถไปเที่ยวเชียงใหม่ต่อ รอติดตามนะครับ
อยากให้คุณไปอยู่ตรงนั้นด้วยกัน
รักและคิดถึง
Mgastronome