ถึง….เธอ
ตื่นเช้ามาผมก็เดินออกไปเดินเล่นรอบๆโรงแรม พิ้นที่ด้านล่างก็สวยดีมีจุดให้เดินเล่นเพลินเหมือนกัน และก็ได้เห็นรั้วของโรงแรมแบบชัดๆ ว่าเป็นรั้วที่ปิดแบบแน่นหนาจริงๆ ไม่มีสิทธิที่คนนอกจะเดินดุ่มๆเข้ามาเลย





จากนั้นผมก็ลงไปทานมื้อเช้า อาหารก็ยังเป็นแนวเดิมๆ ก็เลยต้องเริ่มใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไปบ้างแล้ว 555 ก็เลยเอาเบคอนมาสอดไส้ครัวซองค์ทานบ้าง หนีความจำเจ




หลังจากทานมื้อเช้า ผมจะต้องเดินทางไปขึ้นเรือเพื่อข้ามไปเวนิสโดยใช้เวลานั่งรถบัสจากฟลอเรนซ์ประมาณ 3 ชั่วโมง ดังนั้นเมื่อไปถึงก่อนที่จะข้ามไปเกาะ พวกเราจึงไปทานมื้อเที่ยงกันให้เรียบร้อยก่อนจะได้เที่ยวกันยาวๆเลย ไม่ต้องไปพักเบรคมื้อเที่ยงระหว่างเที่ยวกัน







มื้อนี้เริ่มไม่ไหวกับความเลี่ยนของอาหารจีนสลับอาหารฝรั่งแล้ว ทางไกด์ก็เลยงัดเมนูเด็ดเป็นน้ำพริกมาเสริฟ แถมด้วยไข่เจียวที่สั่งทำพิเศษ อาหารยิ่งอร่อยขึ้นเยอะเลย


หลังจากอิ่มกันแล้ว พวกผมก็ไปเริ่มต้นกันที่ท่าเรือของบริษัท Actv ซึ่งเป็นท่าเรือเอกชนที่ให้บริการไปยังเกาะเวนิส


ที่เรือแห่งนี้มีเรือมาจอดเทียบท่ามากมาย ทั้งเรือเล็ก เรือใหญ่ เรือยอร์ช รวมทั้งเรือสำราญขนาดใหญ่ด้วย





นอกจากนี้ที่ท่าเรือแห่งนี้ยังมีเรือสำหรับขนส่งสาธารณะไปยังเกาะเวนิสด้วย เพราะฉะนั้นถ้าคุณต้องการใช้เรือสาธารณะก็สามารถมาใช้บริการที่ท่าเรือแห่งนี้ได้ครับ ลองไปติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ http://actv.avmspa.it/en/content/home-actv-eng


จากท่าเรือไปยังเวนิสใช้เวลาไม่นานเลยครับ พวกผมก็เริ่มเห็นเมืองเวนิสแล้ว และเนื่องจากเรือของเราเป็นการเหมาลำ เรือจึงแล่นช้าๆ ไปตามริมชายฝั่งของเมืองให้เราได้ชื่นชมความสวยงามของเวนิสกันก่อน
จากที่เห็น บางจุดน้ำทะเลขึ้นชิดฝั่งมากๆ จึงไม่แปลกใจเลยที่จะได้ยินข่าวน้ำท่วมเวนิสบ่อยๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับที่นี่ที่บางช่วงจะมีน้ำเอ่อล้นขึ้นมาบ้าง

เวนิส (Venice)
เวนิส หรือ เวเนเซีย อยู่ในแคว้นเวเนโต ประเทศอิตาลี เป็นเมืองที่เชื่อมเกาะเล็กๆ จำนวน 118 เกาะ เข้าด้วยกันในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลอาเดรียตริกในภาคเหนือของประเทศอิตาลี


เวนิส เป็นเมืองที่ได้รับฉายามากมาย ตั้งแต่เมืองแห่งสายน้ำ เมืองแห่งสะพาน (มีกว่า 400 สะพาน) เมืองที่มีคลองมากที่สุดในโลก เมืองแห่งแสงสว่าง ราชินีแห่งทะเลอาเดรียตริก เป็นหนึ่งในเมืองที่โรแมนติกที่สุดในโลก และที่สำคัญ ยูเนสโก ยกให้ เวนิส เป็นหนึ่งในเมืองมรดโลกด้วย

ความมั่งคั่งของเวนิสก่อร่างสร้างตัวมาจากการเป็นศูนย์กลางการค้าของทั้งยุโรป เอเชีย และแอฟริกา สามารถคุมอำนาจการค้าเหนือท้องน้ำในย่านทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จนกลายเป็นเมืองที่ว่ากันว่าร่ำรวยที่สุดในยุโรป

เวลาพูดถึง Venice เรามักจะนึกภาพของความสวยงาม โรแมนติก ศิลปะ ความรื่นรมย์ต่างๆนานา แต่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้เพราะความเข้มแข็งทางการทหารโดยเฉพาะกองเรือของเวนิสที่สามารถคุมน่านน้ำได้จนทำให้การค้าของเวนิสเจริญเติบโต สร้างความร่ำรวยให้ผู้คนจนสามารถสร้างเมือง สนับสนุนศิลปะ วิทยาการต่างๆจนเจริญรุ่งเรืองมาถึงทุกวันนี้

เมื่อมาถึงเวนิส พวกผมไม่ได้รีบไปขึ้นฝั่ง แต่ถือโอกาสนี้ล่องเรือเรียบชายฝั่งชมความสวยงามของเมือง รวมทั้งสถานที่สำคัญๆของเมืองจากมุมด้านนอกมากมายเลย
โบสถ์ Santa Maria della Pietà
สร้างขึ้นในปี 1745 ปัจจุบันมักถูกนำมาใช้เป็นสถานที่จัดแสดงคอนเสริ์ตดนตรีคลาสสิคของ Vivaldi เนื่องจากโบสถ์แห่งนี้เคยเป็นสถานที่สร้างผลงานมากมายของ Vivaldi นักแต่งเพลงคลาสสิคชื่อดังของโลก (นึกถึง the four seasons อันโด่งดังขึ้นมาเลย เพราะมากจริงๆ ลองไปหาฟังกันดูนะครับ)


Church of the Most Holy Redeemer
โบสถ์นิกายโรมันคาทอลิกที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาลี Andrea Palladio สร้างขึ้นเพื่อขอบคุณพระเจ้าสำหรับการช่วยกู้เมืองจากการระบาดครั้งใหญ่ของโรคระบาด

มหาวิหารเซนส์มาร์โค (Saint Mark’s Basilica)
โบสถ์โรมันคาทอลิกระดับมหาวิหารประจำเขตเวนิส สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1094 ซึ่งผมจะไปเยี่ยมชมโบสถ์นี้และเล่ารายละเอียดให้คุณอ่านอีกครั้งเมื่อขึ้นฝั่งแล้ว


Church of San Giorgio Maggiore
เป็นโบสถ์เบเนดิกตินสมัยศตวรรษที่ 16 ออกแบบโดย Andrea Palladio สร้างขึ้นระหว่างปี 1566 ถึง 1610 โบสถ์แห่งนี้เป็นมหาวิหารสไตล์เรอเนสซองส์คลาสสิกสร้างด้วยหินอ่อนสีขาว โดยคุณสามารถขึ้นไปชมความงามของเมืองเวนิสได้ด้วยการขึ้นไปด้านบนของหอระฆัง Campanile di San Giorgio Maggiore ของวิหารได้


ผลงานปฏิมากรรมขนาดยักษ์ของ Marc Quinn หน้าโบสถ์ San Giorgio Maggiore

นอกจากการล่องเรือเรียบฝั่งเวนิสจะเหมือนเป็นการพรีวิวให้คุณมีโอกาสเห็นสถานที่สำคัญๆของเวนิสแล้ว ยังได้ทั้งบรรยากาศและได้ชื่นชมวิวอื่นๆเพลินๆไปด้วย ผมเลยอยากแนะนำเลยครับสำหรับคนที่อยากจะลองเห็นเวนิสผ่านอีกมุมมองบ้าง



หลังจากล่องเรือแบบเรื่อยๆมาเรียงๆเพื่อชมวิวแล้ว ก็ได้เวลาขึ้นฝั่ง ซึ่งพอขึ้นฝั่งมาแล้ว ผมก็อดตกใจกับจำนวนนักท่องเที่ยวไม่ได้ เรียกว่าเยอะมากจริงๆ หนาแน่นไปหมด
ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะเวนิสเป็นเมืองท่าสำหรับเรือสำราญด้วย เพราะฉะนั้นลองนึกภาพว่าเรือสำราญลำใหญ่ๆ 1 ลำมาแวะเทียบท่าก็มีนักท่องเที่ยวลงมาเที่ยวไม่ต่ำกว่า 1000 คน แล้วถ้ามาหลายลำพร้อมๆกันก็ไม่ต้องแปลกใจเลยครับที่นักท่องเที่ยวจะเยอะขนาดนี้


เมื่อเดินมาถึงใกล้จัตุรัสเซนต์มาร์โค จะเห็นอนุสาวรีย์ของกษัตริย์ Victor Emmanuel ที่สอง กษัติย์องค์แรกที่รวมชาติอิตาลีจนก่อตั้งราชอาณาจักรอิตาลีได้

จากนั้นผมก็เลี้ยวขวาเพื่อจะไปยังลานจัตุรัสเซนต์มาร์โค ซึ่งคุณจะผ่านเสาขนาดใหญ่ 2 เสาโดยด้านบนของแต่ละเสาจะมีรูปปั้นสัญลักษณ์สำคัญของเวนิส โดยทั้งสองเสานี้เป็นเสาหินสลักที่ทำจากหินแกรนิตและหินอ่อน สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1172


เสาแรกจะเป็นรูปปั้นสิงโตมีปีกที่ชื่อว่า “สิงโตแห่งเวนิส” สร้างจากทองสัมฤทธิ์โบราณ เป็นสัญลักษณ์ของเซนต์มาร์ค หรือเซนต์อุปถัมป์ของเมืองเวนิสจึงถูกใช้มาเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเวนิสเช่นกัน

เสาที่สองจะเป็นรูปมนุษย์ถือหอกยืนอยู่บนจระเข้ เสานี้สร้างเพื่ออุทิศแก่เซนต์ Theodore of Amaseaโดยนักบุญท่านนี้มีสมญานามว่า Dragon Slayer หรือผู้ฆ่ามังกรที่เป็นความเชื่อมาตั้งแต่ยุคกลางแต่เมืองเวนิสได้ใช้จระเข้มาแทนมังกรในรูปปั้นนี้ (อาจจะเพื่อให้เข้ากับเมืองริมน้ำ ผมเดาเองนะครับ 55)

จากตรงนี้ผมก็มาถึงจุดท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดของเมือง
จตุรัสเซนต์มาร์โค (St. Mark’s Square)
จัตุรัสที่เป็นศูนย์กลางของเมืองเวนิส สร้างขึ้นในช่วงปลายของศตวรรษที่ 9 เพื่อใช้เป็นบริเวณทางเดินทอดไปยังมหาวิหารเซนต์มาร์โค บริเวณจัตุรัสล้อมรอบไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมือง มหาวิหารเซนส์มาร์โค หอนาฬิกา พระราชวัง พิพิธภัณฑ์ และหอสมุด รวมทั้งร้านอาหาร ร้านค้าต่างๆ เป็นจุดศูนย์กลางของเมืองที่ไม่ว่าเดินหลงยังไงก็ขอให้กลับมาตรงนี้ก็เป็นใช้ได้แล้ว รอบจัตุรัสมีหลายสถานที่ๆน่าสนใจ ซึ่งสำหรับคนมีเวลาน้อยอย่างผมเลยได้เดินชมแบบผิวๆ ต้องบอกแบบนี้จริงๆ



มหาวิหารเซนส์มาร์โค (Basilica di San Marco)
โบสถ์คริสตจักรโรมันคาทอลิกประจำเมืองเวนิส สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบอิตาเลี่ยน – ไบแซนไทน์ และได้รับอิทธิพลของศิลปะทั้งจากยุโรป และอาหรับ เดิมเป็นโบสถ์ของดยุคแห่งเวนิส ต่อมาได้กลายเป็นมหาวิหารของเมืองมาตั้งแต่ปี 1807

สถาปัตยกรรมของโบสถ์นี้มีความงดงามมาก โดยเฉพาะยอดโดมสีทอง และกระเบื้องโมเสกสีทองระยิบระยับที่ประกับไปทั่วทั้งโบสถ์ทำให้บางคนเรียกโบสถ์แห่งนี้ว่า“โบสถ์ทองคำ”นอกจากนั้นยังมีประติมากรรม รูปปูนปั้นที่งดงามอีกมากมาย



ประตูโค้งรอบๆ ทางเข้าจะมีการประดับด้วยประติมากรรมเป็นจักรราศี และภาพนูนต่ำเรื่องราวของการโจรกรรมอัฐิของนักบุญเซนต์มาร์ก จากเมืองกอเล็กซานเดรีย มายังเวนิสในปี ค.ศ.828 ซึ่งทั้งหมดทำด้วยโมเสกสีทองที่งดงามมากๆ



ด้านนอกยังมีปฏิมากรรมรูปปั้นม้าสัมฤทธิ์ 4 ตัว(The Horses of Saint Mark) อยู่บนซุ้มโค้งทางเข้า เดิมเคยอยู่ในกรุงสแตนติโนเบิล คาดว่าสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่สาม หลังจากการล่มสลายของกรุงคอนสแตนติโนเปิลได้มีโจรแอบขโมยมาไว้ที่เวนิส ต่อมานโปเลียนโบนาปาร์ตได้ขนม้าทั้ง4 ตัวไปไว้ที่ไปปารีสในปี ค.ศ. 1797 เมื่อทำศึกชนะอิตาลีได้ แต่สุดท้ายทั้งหมดก็ได้กลับมายังเมืองเวนิสในปี ค.ศ. 1815 ซึ่งม้าที่คุณเห็นด้านหน้าโบสถ์เป็นการปั้นจำลอง เพราะของจริงได้นำไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ด้านในโบสถ์


นอกจากนี้เเล้วจุดสำคัญอีกเเห่งของ Basilica di San Marco ก็คือด้านในที่จะมีประตูทองสำริดที่หน้ามุข โดยภายในจะมีรูปกางเขนเเบบกรีก เเละมีการตกเเต่งโมเสกบนพื้นที่กว่าเเปดพันตารางเมตรด้วยทองคำตั้งแต่พื้นจรดเพดานเลยทีเดียว โดยหลังเเท่นบูชานั้นจะเป็นที่เก็บอัฐิของนักบุญเซนต์มาร์ก นอกจากนี้เเล้วที่นี่ก็ยังเก็บรักษาโบราณวัตถุมากมายหลายชนิด อย่างปอยผม ที่มีความเชื่อกันว่าเป็นปอยผมของพระเเม่มารีอีกด้วย


หอระฆังเซนต์มาร์โค (St. Mark’s Campanile)
เป็นหอระฆังที่มีความสูง 99 เมตร เดิมเคยเป็นประภาคารบอกตำแหน่งให้กับนักเดินเรือมาก่อนที่จะได้รับการปรับเปลี่ยนให้เป็นหอระฆังประจำมหาวิหารเซนต์มาร์โคในปี ค.ศ. 1515 แต่หอถล่มได้ลงมาในปีค.ศ. 1902 และได้รับการสร้างใหม่ในปีค.ศ. 1912

บริเวณยอดด้านบนของหลังคาหอระฆังประดับด้วยรูปปั้นทูตสวรรค์กาเบรีล โดยด้านบนหอระฆังเป็นพื้นที่ให้นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปเมืองเวนิสได้
หอนาฬิกาเซนต์มาร์โค
เป็นหอนาฬิกาในเมืองเวนิสอยู่บนอาคารที่สร้างในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยายุคแรกๆ สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ชั้นล่างของหอคอย 2 ชั้นเป็นซุ้มประตูขนาดใหญ่นำเข้าสู่ถนนสายหลักของเมือง นั่นคือ Merceria ซึ่งเชื่อมโยงศูนย์กลางทางการเมืองและศาสนา กับศูนย์กลางการค้าและการเงินของเวนิสเข้าไว้ด้วยกัน

บนระเบียงที่ด้านบนสุดของหอคอยมีรูปปั้นทองสัมฤทธิ์มีบานพับอยู่ที่เอวซึ่งจะตีระฆังเป็นรายชั่วโมง รูปปั้นนี้จะเห็นว่าเป็นคนแก่และคนอายุน้อยอยู่คู่กัน เพื่อแสดงการล่วงไปของเวลา

ชั้นถัดมาจะเป็นรูปปั้น Lion of Saint Mark ถัดมาอีกชั้นจะเป็นรูปปั้นพระแม่มารี ก่อนที่เป็นแผงนาฬิกาขนาดใหญ่สีน้ำเงินและสีทองภายในวงกลมหินอ่อนที่สลักด้วยตัวเลขโรมัน 24 ชั่วโมงของวัน โดยเข็มนาฬิกาสีทองพร้อมรูปดวงอาทิตย์จะระบุชั่วโมงของวัน และภายในวงกลมหินอ่อนใต้ดวงอาทิตย์เป็นสัญลักษณ์ของจักรราศี

บริเวณลานแห่งนี้ยังมีความรื่นรมย์อีกมายให้คุณสัมผัส ถ้ารู้สึกเหนื่อยเมื่อยล้าก็สามารถหาร้านดีๆนั่งพร้อมความชมวิวและความสวยงามรอบตัวไปด้วยได้ ที่ทำคัญมีดนตรีคลาสสิคแบบเล่นสดให้ฟังด้วย…เพลินไปอีก


เมื่อชมสิ่งสำคัญรอบๆจัตุรัสแล้ว ก็ได้เวลาไปทำกิจกรรมสำคัญที่ถ้าใครมาเวนิสแล้วไม่ได้ไปนั่งเรือกอนโดลาก็อาจจะเรียกได้ว่าไปไม่ถึง
โดยท่าเรือสำหรับนั่งเรือกอนโดล่านั้นมีอยู่ด้วยกันหลายท่าเลยแล้วแต่จะเลือก ซึ่งของผมเลือกไปขึ้นที่ท่าบริเวณสะพานรีอันโตซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นสะพานที่มีชื่อเสียงที่สุดในเวนิสจากสะพานที่มีอยู่มากกว่า 400 สะพาน

สะพานรีอัลโต (Rialto Bridge)
เป็นสัญลักษณ์อีกอย่างของเมืองเวนิส เป็นสะพานข้าม Grand Canal ที่เก่าแก่และสวยงามทำให้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวมากที่สุด สร้างมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1173 โดยได้ชื่อมาจาดตลาดริอัลโต (Rialto Market)ที่อยู่ใกล้กัน มีจุดเด่นที่หลังคาคลุมสะพานที่สวยงาม จนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญของเมืองนี้ในที่สุด


หลังจากถ่ายรูปสะพานกันเรียบร้อยก็ได้เวลาไปนั่งเรือกอนโดลากันครับ
เรือ Gondola
เรือ Gondola นั้นมาจากเรือขนสินค้าในสมัยก่อน ซึ่งปกติจะมีเรือใหญ่ที่ใช้คนพายหลายคนพายมายังท่าเรือ จากนั้นต้องก็มีการแบ่งสินค้าขึ้นบนเรือแจวลำเล็กเพื่อส่งลำเลียงไปตามพื้นที่ต่างๆในเมืองซึ่งสะดวกกว่าทางบก ดังนั้น คำว่า “กอนโดลา” จึงหมายถึง หัวหน้าคุมเรือในการส่งสินค้า นั่นเอง

เรือกอนโดลาจะมีความพิเศษคือมีการใช้ไม้ในการทำเรือจากไม้หลากหลายชนิดทั้งไม้สน ไม้โอ๊ค มะฮอกกานี ลินเด็นและวอลนัท เพราะไม้แต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติต่างกันจึงต้องแยกกันไปตามหน้าที่ที่ใช้ในเรือ
เรือ Gondola ส่วนใหญ่จะมีสีดำ เพราะกฎหมายใน ค.ศ. 1562 ที่ระบุไว้ว่าต้องเป็นสีดำทั้งหมด เพื่อลดการแข่งขันประดับประดาเรือกันอย่างฟุ่มเฟือย
มีอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือเรือ Gondola นั้นหากจอดอยู่เฉยๆ เรือจะเอียง เพราะ เรือจะเผื่อพื้นที่ให้คนยืนแจว เมื่อคนแจวลงไปยืนตรงตำแหน่งของตัวเอง เรือก็จะกลับมาตรง (แหม่ ช่างคิด)
อีกเรื่องที่หลายคนอาจจะไม่ทราบคือ หัวเรือ จะมีรูปทรงเป็นตัว S และจะมีเหล็กเสียบอยู่ 6 ซี่ มันเป็นตัวแทนถึง 6 เขตของเมืองบนเกาะเวนิสนั่นเอง (ละอียดละออจริงๆ)

การนั่งเรือกอนโดลาล่องไปในคลองของเมืองเวนิสนั้นไม่ได้ราคาถูก แต่ก็นั่งได้ 4-6 คนต่อลำ โดยกลางวันจะมีราคา 80 ยูโร แต่ถ้ากลางคืนจะกลายเป็น 100 ยูโร


(ราคานี้ไม่รวมค่าจ้างให้คนแจวร้องเพลงนะเออ ซึ่งได้ข่าวว่าขึ้นกับอารมณ์ของคนแจวด้วย ไม่ใช่จะจ้างให้ร้องเพลงไปทุกคนได้)
เรือกอนโดลาจะล่องไปตามคลองที่ซ่อนตัวอยู่มากมายหลายสายในเมือง ทำให้เราเห็นสภาพบ้านเรือนที่สวยงามสมัยโบราณของเวนิสได้ชัดเจนขึ้น ได้เห็นคลองเล็กๆ ถนนสายแคบๆ สะพานเล็ก สะพานน้อยที่มีอยู่นับร้อยๆสะพานทั่วเมือง



มีช่วงนึ่งระหว่างที่นั่งเรือไป เรือได้ผ่านบ้านเล็กๆ มีระเบียงน่ารักๆโผล่ยื่นออกมา คนแจวเรือก็รีบชี้แล้วบอกว่านี่คือระเบียงบ้านของจูเรียตจากบทละครโศกนาฎกรรมความรักระดับโลก“โรมิโอและจูเลียต” ซึ่งในเรื่องพระเอกและนางเอกได้มาแอบพลอดรักกันที่ระเบียงบ้านของฝ่ายหญิง พวกผมก็ตาโต เนี่ยนะ ระเบียงบ้านจูเรียต สรุปมันมีจริงเหรอ (ว่ะ)

คือ…ก็อยากจะเชื่อหรอกนะคับ แต่จริงๆ ไม่มีนะครับ ระเบียงรักของคู่รักบรรลือโลกคู่นี้ในเวนิส
โรมิโอแอนด์จูเลียต เป็นบทละครของ William Shakespeare กวีและนักเขียนบทละครชื่อดังชาวอังกฤษ แม้เรื่องราวจะเกิดขึ้นในเวนิส แต่เช็คสเปียร์ไม่เคยเอ่ยถึงระเบียงพลอดรักใดๆในบทละครต้นฉบับเลย
อดีตเด็กวรรณคดีอังกฤษคนนี้ขอยืนยัน จึงแจ้งมาเพื่อทราบ…อย่าหาว่าดับฝันเลยนะ55
ปล เรื่องตลกร้ายหลังจากนั้นคือมีเพื่อนไปเที่ยวเวนิสมา แล้วก็เอารูปมาอวดว่าได้เห็นระเบียงบ้านจูเลียตด้วย ซึ่งพอผมขอดูรูปก็พบว่าเป็นคนละระเบียงกับที่ผมเห็น ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าคนแจวเรือแจวผ่านไปบ้านไหน เห็นระเบียงสวยหน่อยก็ชี้ได้เลยว่า…นี่ล่ะ ระเบียงบ้านจูเลียต ฮา

ผมล่องเรือกันนานพอสมควรได้เห็นทั้งบ้านเรือนที่สวยงาน ได้เจอมิตรภาพดีๆจากนักท่องเที่ยวด้วยกันที่ส่งยิ้มให้กันบ้าง โบกไม้โบกมือให้บ้างระหว่างที่เรือสวนกัน สุดท้ายเรือก็กลับมาที่คลองสายหลักหรือ Grand Canal ก็เป็นอันว่าภารกิจนั่งเรือกอนโดลาสำเร็จลุล่วง เรียกว่ามาถึงเวนิสแล้ว เฮ




จากนั้นผมก็เดินกลับมาที่จัตุรัสเซนต์มาร์โค และเดินไปทางด้านหน้าริมน้ำซึ่งส่วนนี้จะเรียกว่า…จุดชมวิวเพลซ ริวา เดกลี เชียโวนี (Place Riva Degli Schiavoni) ซึ่งเป็นพื้นที่ริมชายฝั่งบริเวณด้านหน้าพระราชวังปาลัซโซ่ดูคาเลที่เป็นจุดชมวิวยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งของเมืองเวนิส อดีตนโปเลียนโบนาบาร์ตที่ยิ่งใหญ่แห่งฝรั่งเศสถึงกับเคยกล่าวไว้ว่าที่นี่เป็นดั่งห้องรับรองที่สวยที่สุดในโลก และจากจุดนี้คุณจะมองเห็น Church of San Giorgio Maggiore อยู่ตรงข้ามด้วย



บริเวณนี้เองมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งที่ถ้ามีเวลาก็อยากให้คุณลองเข้าไปชม
พระราชวังปาลัซโซ่ดูคาเล (Palazzo Ducale)
พระราชวังดยุค (Doge Palace) หรือ ปาลาซโซ ดูคาเล(Palazzo Ducale) เป็นพระราชวังที่สร้างขึ้นในสไตล์โกธิคแบบเวนิส พระราชวังแห่งนี้เคยเป็นที่พำนักของ Doge of Venice ซึ่งเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดของสาธารณรัฐเวนิสในอดีต และได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นพิพิธภัณฑ์ในปี ค.ศ. 1996


ภายใน Doge’s palace นั้นเต็มไปด้วยข้าวของยุคโบราณที่สวยงามมากมาย มีการตกแต่งอย่างโอ่อ่าหรูหรา ภายในพระราชวังได้เชื่อมติดกับโบสถ์หลักที่สำคัญของเมืองเวนิสอย่าง St Mark’s Basilica และจุดเด่นที่สำคัญของพระราชวังแห่งนี้อีกอย่างก็คือสะพานถอนหายใจBridge of sighs ที่เชื่อมพระราชวังแห่งนี้เข้ากับคุกใต้ดินนั่นเอง เพราะเวลานักโทษเดินไปคุกจะต้องเดินผ่านระเบียงที่เห็นวิวสวยงามด้านนอกซึ่งนั่นอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่นักโทษเหล่านั้นจะได้เห็นภาพที่สวยงามแบบนี้
หากคุณเดินเลยพระราชวังไปหน่อยจะเจอแหล่ง shopping อีกจุดที่มีหน้ากากคาร์นิวัลที่มีชื่อเสียงมากของเวนิส และนิยมซื้อไปเป็นของฝากกัน


เทศกาลหน้ากากคาร์นิวัลแห่งเมืองเวนิส
เป็นงานคาร์นิวัลสวมหน้ากากที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีมาตั้งแต่ปี 1268 เพื่อเปิดโอกาสให้ชาวเมืองได้สนุกสนานรื่นเริงก่อนที่จะเริ่มวันถือบวชในศาสนาคริสต์ ซึ่งจะมีการถือศีลอดเป็นเวลา 40 วันก่อนถึงวันอีสเตอร์

ในศตวรรษที่ 18 ถือเป็นยุคที่รุ่งเรืองมากของการสวมหน้ากาก ชาวเวนิสจะสวมหน้ากากกันเป็นเรื่องปกติสำหรับชีวิตประจำวันเลยทีเดียว และใส่แบบนี้ยาวนานถึงปีละ 8 เดือน แต่หลังจากการยึดครองของกองทัพนโปเลียนในปี 1797 มีการสั่งห้ามการจัดงานเฉลิมฉลองงานรื่นเริงและไม่อนุญาตให้ใช้หน้ากากปกปิดหน้าตาอีกต่อไป จนกระทั่งทศวรรษที่ 1970 ประเพณีดั้งเดิมนี้จึงได้ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่
ที่ลานแห่งนี้มีหน้ากากคาร์นิวัลหลากหลายแบบ หลากสีสัน และมีหลายขนาดให้เลือกซื้อนะครับ ผมเองก็ขนหน้ากากคาร์นิวัลแบบเล็กจิ๋วมาหลายชิ้นเลย คิดว่าเป็นของฝากที่สวยงามและราคาไม่แรงเลย
ผมใช้เวลาที่เวนิสมาถึงเวลาเย็นมากแล้วก็ได้เวลาข้ามกลับไปทานมื้อเย็นกัน

มื้อเย็นวันนี้เราไปทานกันที่ร้าน Ristorente Da Bepi ซึ่งมื้อนี้จะมาแนวอิตาเลี่ยนบ้างหลังจากทานอาหารจีนไปตอนมื้อเที่ยงแล้ว

อาหารมื้อนี้มาแบบแน่นๆ จนทานไม่หมดเพราะมีทั้งพิซซ่า สปาเกตตี้แล้วยังปลาอีก ขนาดปกติผมค่อนข้างทานเยอะแล้วแต่มื้อนี้ก็ต้องยกธงยาวยอมแพ้ครับ





เมื่อได้เวลาผมก็เดินทางเข้าโรงแรมที่พักคืนนี้ซึ่งเราจะค้างคืนกันที่ NH Laguna Palace เวนิส


จดหมายฉบับหน้าผมจะนำคุณเที่ยวต่อในเมืองสุดท้ายของอิตาลีก่อนที่จะนำคุณข้ามเปลี่ยนประเทศไปเที่ยวกันต่อที่สวิสเซอร์แลนด์ครับ


อยากให้คุณไปอยู่ตรงนั้นด้วยกัน
รักและคิดถึง
MgastronomeFanpage : M Eat and Travel