ถึง….เธอ
วันนี้จะเป็นวันที่ 4 แล้วนะครับสำหรับทริปเที่ยวอิตาลี สวิส ฝรั่งเศส 9 วัน 8 คืน ของผมซึ่งวันนี้ผมจะอยู่ที่อิตาลีเป็นวันสุดท้ายและจะเริ่มข้ามไปประเทศที่สองนั่นคือประเทศสวิสเซอร์แลนด์


ผมตื่นเช้ามาแล้วก็รีบลงไปทานมื้อเช้าซึ่งทางไกด์ได้แนะนำไว้ตั้งแต่เมื่อคืนว่าให้เอากระเป๋าของมีค่าเก็บไว้ในตู้เซฟในห้องก่อน ซึ่งขัดกับสิ่งที่พวกผมเคยได้ยินมาคือให้เอากระเป๋าของมีค่าไว้กับตัว เพราะบางโรงแรมอาจมีการมางัดห้องมาขโมยของได้

แต่ที่อิตาลี (รวมถึงฝรั่งเศส) ไกด์แนะนำว่าพวกหัวขโมยเดี๋ยวนี้มาไกลแล้ว พวกนี้จะยอมลงทุน check in มาเป็นแขกของโรงแรมเลย แล้วจะอาศัยช่วงจังหวะทีเผลอของเราในตอนทานอาหารเช้าที่ต้องเดินไปตักอาหารนี่แหละมาแอบขโมยกระเป๋าที่เราวางไว้ที่โต๊ะไปแบบเนียนๆ แล้วพวกนี้จะเร็วมาก เร็วขนาดแม้มีคนนั่งอยู่ที่โต๊ะก็อาจไม่ทันสังเกตุว่ากระเป๋าถูกฉกไปแล้ว
เรื่องการถูกขโมยของในอิตาลีและฝรั่งเศสนี้เป็นเรื่องที่เตือนกันแล้วเตือนกันอีก เพราะฉะนั้นให้ระวังตัวกันมากๆนะครับ
พอลงมาด้านล่างระหว่างทางเดินไปห้องอาหาร ผมก็เห็นว่าโรงแรมนี้เป็นโรงแรมริมน้ำและมีท่าสำหรับเรือยอชน์โดยเฉพาะด้วยซึ่งมีเรือยอชน์มาจอดแวะพักกันมากมายทีเดียว




อาหารมื้อนี้ก็เจออาหารฝรั่งแบบเดิมๆ ซึ่งผมก็ถึงขีดจำกัดแล้ว 555


งานนี้นอกจากอาหารปกติแล้ว ผมเลยต้องเดินไปขอมาม่าคัพมากินแก้เบื่อบ้างซึ่งปกติในการไปเที่ยวต่างประเทศผมแทบไม่แตะเลย และไม่เคยพกมาม่าไปด้วยซ้ำ แต่ครั้งนี้มากับทัวร์ซึ่งปกติเค้าจะมีให้บริการเราอยู่แล้วเลยขอมาทานแก้เลี่ยนซะหน่อย



หลังจากทานมื้อเช้ากันแล้วก็ได้เวลาเดินทาง ซึ่งวันนี้เราจะเริ่มต้นกันด้วยเมืองสุดท้ายในประเทศอิตาลี และก็ถือเป็นเมืองไฮไลท์ที่ถ้าใครมาอิตาลีก็ต้องไปเยือนเหมือนกัน
มิลาน (Milan)
เป็นเมืองเอกของแคว้นลอมบาร์เดีย ประเทศอิตาลี ถือเป็นนครที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศรองจากกรุงโรม มิลานเคยเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิโรมันตะวันตก ปัจจุบันมิลานเป็นเขตเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอิตาลี และใหญ่เป็นอันดับสี่ในสหภาพยุโรป

มิลานมีชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในเมืองแถวหน้าของโลก ทั้งในด้านศิลปะ, การค้า, การออกแบบ, แฟชั่น, สื่อและการเงิน ภาคเศรษฐกิจของมิลานมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของสหภาพยุโรปรองจากกรุงปารีส
เมื่อมาถึงมิลาน รถบัสนำพวกผมมาลงยังจุดใจกลางเมืองมิลานที่ลานปิอัซซ่า เดลลา สกาลา ซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยว highlight สำคัญที่สุดของมิลานอยู่ติดกับที่นี่ พวกผมจึงมาเริ่มต้นกันตรงนี้
ลานปิอัซซ่า เดลลา สกาลา (Piazza della Scala)
เป็นลานที่มีโรงละคร Teatro alla Scala หรือบางคนจะเรียกสั้นๆว่า La scala ซึ่งเป็นโรงละครโอเปร่าที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของโลกเลยก็ว่าได้ตั้งอยู่ ว่ากันว่านักร้องโอเปล่าระดับโลกไม่มีใครไม่เคยมายืนอยู่บนเวทีที่โรงละครแห่งนี้

โรงละครนี้มีความเก่าแก่มากเพราะสร้างมาตั้งแต่ปี คศ 1778 ตัวอาคารบริเวณนี้จะเป็นสถาปัตยกรรมเเบบนีโอคลาสสิก นับว่าเป็นอีกหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่งดงามเเละมีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

บริเวณลานมีรูปปั้นของศิลปินที่มีชื่อเสียงโด่งดังของโลก คือ “ ลีโอนาร์โด ดาวินชี (Leonardo da Vinci) ที่มีลูกศิษย์เอกทั้ง 4 ยืนล้อมรอบอยู่ 4 ด้านด้านล่าง

ในยุคนั้นเจ้าผู้ปกครองเมืองมิลานได้ว่าจ้างลีโอนาร์โดจากเมืองฟลอเรนซ์ ให้ย้ายมาผลิตผลงานที่เมืองมิลาน ซึ่งลีโอนาโดได้สร้างผลงานศิลปะชิ้นสำคัญของโลกคือภาพวาดปูนเปียกที่ชื่อว่า “ The Last Supper ” ในเมืองมิลานนี่เอง โดยอยู่ที่ “ โบสถ์ซานตา มาเรีย เดลเล กราเซีย (Santa Maria delle Grazie) ” ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ เป็นสถานที่แห่งเดียวในมิลานที่ได้เป็นมรดโลก
จากลานตรงนี้จะเป็นทางเดินไปแหล่ง shopping สุดหรูที่เก่าแก่ใจกลางเมืองมิลานแห่งนี้ เรียกว่าอยู่ติดกันเลย
กัลเลรีอา วิตโตรีโย เอมานูเอเล (Galleria Vittorio Emanuele II)
เป็นหนึ่งในศูนย์การค้าที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีลักษณะเป็นทางเดินและอาคารขนาบ 4 ชั้น คลุมด้วยหลังคาทรงโค้ง ตั้งอยู่ระหว่างลานปิอัซซ่า เดลลา สกาลา กับมหาวิหารแห่งมิลาน ได้รับการออกแบบและสร้างโดยจูเซปเป เมนโกนี ในปี พ.ศ. 2408 และตั้งชื่อตามพระเจ้าวิตโตรีโอ เอมานูเอเลที่ 2 กษัตริย์พระองค์แรกของราชอาณาจักรอิตาลี


ปัจจุบันกลายเป็นศูนย์การค้าสุดหรู มีทั้งร้านสำหรับจำหน่ายสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนม, ร้านเพชรพลอย, นาฬิกา และร้านขายภาพเขียนและงานศิลปะ อีกทั้งยังมีร้านอาหาร บาร์ และร้านกาแฟมากมายที่เปิดให้บริการอีกด้วย



จาก กัลเลรีอา วิตโตรีโย เอมานูเอเล ถ้าเดินไปเรื่อยๆ ไม่แวะเลี้ยวซ้ายขวาเพื่อ shopping 555 ก็จะไปเจอกับมหาวิหารแห่งมิลานเลย
มหาวิหารแห่งมิลาน (Duomo di Milano)
เป็นมหาวิหารสถาปัตยกรรมสไตล์โกธิคสีขาวเด่นสวยงามที่โอ่อ่าใหญ่โตอลังการ เริ่มสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1386 ใช้เวลาในการสร้างนานถึง 579 ปี สร้างเพื่ออุทิศแก่พระแม่มารี และเป็นวิหารประจำตำแหน่งอัครมุขนายกแห่งมิลาโดยมีSimone da Orsenigo เป็นสถาปนิกออกแบบวิหารให้เป็นคนแรก แต่เนื่องจากวิหารแห่งนี้ใช้เวลาก่อสร้างหลายร้อยปีจึงมีสถาปนิกอีกหลายสิบชีวิตมาช่วยในการก่อสร้างคนแล้วเสร็จ

ทั้งภายในและภายนอกมหาวิหารแห่งมิลานจะประดับประดาไปด้วยรูปปั้นของนักบุญและเรื่องราวจากพระคัมภีร์ กว่า 3,200 ชิ้น มียอดรวม 135 ยอด จนได้รับฉายาว่า “วิหารเม่น”



นอกจากความสวยงามแล้ว มหาวิหารแห่งนี้ยังมีความใหญ่โตเป็นอันดับสองของอิตาลี เป็นรองแค่มหาวิหาร St.Peter ในกรุงวาติกันเท่านั้น

บนยอดหอสูงของมหาวิหารมีรูปปั้นพระแม่มาเรียสูงกว่า 4 เมตรปิดทองคำส่องประกายอร่ามประดับอยู่ ซึ่งเรียกกันว่า Madunina เป็นแม่พระผู้คุ้มครองเมืองมิลาน และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวมิลานให้ความเคารพที่สุด ดังนั้นถ้ามีการก่อสร้างตึกที่สูงกว่าพระแม่มารีในโบสถ์ ก็จะมีการทำรูปจำลองของพระแม่ไปประทับที่ยอดตึกด้วย

บนหลังคาโบสถ์สามารถขึ้นไปได้ โดยต้องขึ้นบันได 251 ชั้น ก็จะมองเห็นวิวเมืองมิลานได้กว้างไกล ถ้าในวันที่อากาศดีว่ากันว่าคุณจะมองเห็นได้ไกลไปถึงเทือกเขาแอลป์เลย
ในส่วนของด้านในวิหารจะเห็นความสวยงามตั้งแต่ประตูทางเข้าที่แกะสลักแบบใส่รายละเอียดยิบ โดยเฉพาะประตูทางเข้าตรงกลางที่ปิดตลอดเวลาให้เราเห็นความปราณีตของประตูแบบเต็มๆ


ด้านในมหาวิหารจะประดับประดาไปด้วยกระจกสีโมเสกว่าด้วยเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลและสถาปัตยกรรมสไตล์โกธิคที่งดงาม โดยเฉพาะเสาที่ใหญ่โตสูงตะหง่านที่ด้านบนประดับประดาไปด้วยเหล่าเทพเทวดาและเซนต์ต่างๆของมหาวิหารทำให้ผมรู้สึกเป็นเพียงมนุษย์ตัวเล็กๆไปเลย




ค่าเข้าชมภายในมหาวิหารจะเสียค่าเข้าชม 2 Euro ครับ บัตรเข้าชมนี้สามารถเก็บไปใช้ต่อเพื่อเข้าชมพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ด้านข้างมหาวิหารได้


สำหรับผมเมื่อได้เห็นกับตาตัวเองแล้วต้องยอมรับว่ามหาวิหารแห่งมิลานนั้นเป็นมหาวิหารที่ยิ่งใหญ่ สวยงามสมคำเล่าลือ ถ้าคุณมีโอกาสไปเที่ยวอิตาลีต้องไปเห็นให้ได้ด้วยตาตัวเองนะครับ

หลังจากชื่นชมความงามของมหาวิหารกันแล้ว ผมก็อาศัยทานมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารด้านข้างมหาวิหารซึ่งด้านหน้ามหาวิหารจะเป็นลานกว้างล้อมรอบไปด้วยร้านค้าและร้านอาหาร และตรงกลางจะมีอานุสาวรีย์ของ พระเจ้าวิตโตรีโอ เอมานูเอเลที่ 2 กษัตริย์พระองค์แรกของราชอาณาจักรอิตาลี ด้วย


บางร้าน ถ้าคุณขึ้นไปนั่งบนชั้นสองจะมีผนังกระจกให้คุณดื่มด่ำบรรยากาศและผู้คนรอบๆที่มาชมมหาวิหารแห่งนี้ได้

มื้อนี้ผมทานอาหารง่ายๆเนื่องจากไกด์ให้เวลาแบบอิสระเลยให้เงินคืนมาแล้วให้ต่างคนต่างหาที่ทานเอง ซึ่งดีมากครับเพราะทำให้ผมใช้เวลาในการเดินชมมหาวิหารได้ค่อนข้างนาน (รายละเอียด ความสวยงามเยอะมากจริงๆ) จนเหลือเวลาไม่เยอะที่จะต้องไปเจอกันที่จุดนัดพบ
อีกทั้งผมต้องเผื่อเวลาอีกนิดหน่อยสำหรับไปshopping ที่ Galleria Vittorio Emanuele II ที่อยู่ติดกับมหาวิหาร เนื่องจากตอนเข้ามา พวกเราแค่เดินผ่านเพื่อมามหาวิหารเฉยๆ เลยยังไม่มีเวลา shopping อะไรกันเลยครับ


หลังจากรีบ shopping โดยได้อะไรติดไม้ติดมือมาเล็กน้อย ผมก็กลับไปรวมตัวกันที่จุดนัดพบซึ่งเป็นจุดเดิมที่เรามาลงจากรถบัสกันที่ลานปิอัซซ่า เดลลา สกาลาเพื่อเดินทางมุ่งหน้าข้ามประเทศไปสวิสเซอร์แลนด์ครับ
เมืองแรกในสวิสเซอร์แลนด์ที่เราจะไปเยือนคือเมืองลูเซิร์น (Lucerne) ซึ่งแค่ข้ามพ้นประเทศอิตาลีไปไม่เท่าไหร่ก็เริ่มเห็นความสวยงามของธรรมชาติสองข้างทางของสวิสเซอร์แลนด์



มีทั้งความเป็นภูเขา ท้องน้ำ ทุ่งหญ้า หมู่บ้านต่างๆที่ซ่อนตัวอยู่กลางหุบเขา เรียกว่าเห็นได้ชัดว่าเป็นความสวยงามที่ต่างกับอิตาลีมากๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากๆ เพราะการไปเที่ยวอิตาลีเปรียบเสมือนเราได้ย้อนยุคไปดูความยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรมและอารยธรรมโบราณ ในขณะที่สวิสเซอร์แลนด์เป็นเรื่องของธรรมชาติล้วนๆ ทำให้จุดที่น่าสนใจในการเดินทางไม่ซ้ำหรือจำเจเกินไปครับ



จากมิลาน พวกผมใช้เวลา 3 ชั่วโมงนิดๆ ก็มาถึงลูเซิร์น
ลูเซิร์น (Lucerne)
เมืองหลวงของรัฐลูเซิร์นในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งอยู่ชายฝั่งด้านตะวันตกติดกับทะเลสาปลูเซิร์น มีแม่น้ำรอยส์ (Reuss) ไหลออกมาจากทะเลสาบผ่านกลางเมืองแบ่งเมืองให้เป็นเมืองเก่าและเมืองใหม่ จากเมืองนี้สามารถมองเห็นเทือกเขาแอลป์, เขาพีลาทุส และเขารีกีได้ เมืองลูเซิร์นมีภูมิอากาศเย็นตลอดทั้งปี จึงเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวในการเดินมาพักผ่อนและท่องเที่ยวกัน


ผมมาหยุดเที่ยวกันที่ริมแม่น้ำรอยส์ซึ่งบริเวณนี้จะมีมุมพักผ่อนหย่อนใจที่สามารถมองเห็นความสวยงามของเมืองนี้ได้ในหลายมุมเลย




ริมแม่น้ำก็มีทั้งห่านและเป็ดตัวเล็กตัวน้อยให้เราได้เก็บภาพกันด้วย


จากริมแม่น้ำตรงนี้จะมีสะพานไม้เก่าแก่ของเมืองและของโลกซึ่งเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวจะต้องไปcheck in กัน
สะพานไม้ชาเปล ( Chapel Bridge)
เป็นสะพานไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก โดยเป็นสะพานที่สร้างขึ้นเพื่อข้ามแม่น้ำรอยส์ที่ไหลผ่านกลางเมืองและมีป้อมปราการทรงแปดเหลี่ยมอยู่กลางสะพาน สะพานไม้แห่งนี้มีอายุเกือบ 700ปีแล้วเพราะสร้างขึ้นตั้งแต่ปี1332 จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองลูเซิร์นในเวลาต่อมา

บนสะพานจะมีภาพจิตรกรรมเก่าแก่ที่วาดอยู่ที่ฐานใต้หลังคาทรงสามเหลี่ยมซึ่งวาดมาตั้งแต่ศวรรษที่ 17 เป็นภาพเขียนเรื่องราวประวัติศาสตร์ความเป็นมาของประเทศสวิสเซอร์แลนด์แต่น่าเสียดายที่เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ในปี 1993 จึงทำให้เหลือภาพดั้งเดิมเพียงแค่ 20 กว่าภาพ โดยบางจุดที่โดนไฟไหม้ไปหมดจะถูกแทนที่ด้วยภาพถ่ายแทน

น่าเสียดายที่พวกผมมาถึงค่อนข้างเย็นมากแล้วจึงไม่ได้มีเวลาขึ้นไปบนสะพาน (หนึ่งในข้อเสียของการมากับทัวร์ คือถ้าไม่ทัน ทุกอย่างจะถูกเร่งไปหมด) ผมจึงไม่มีโอกาสได้เห็นภาพวาดเหล่านั้น ถ้าคุณไปก็ห้ามพลาดกันนะครับ
เหตุที่พวกผมต้องรีบไปเพราะตอนนั้นฟ้าเริ่มจะมืดฝน ไกด์กลัวฝนจะตกก่อนพวกเราไปถึง พวกผมเลยต้องรีบเดินไป โดยระหว่างทางก็ได้เดินชมความสวยงามของเมืองไปด้วย





โดยสถานที่สุดท้ายในการเที่ยวของผมในวันนี้คือ…
สิงโตแห่งลูเซิร์น (Lion of Lucerne)
เป็นประติมากรรมแกะสลักบนหิน ตั้งอยู่ใจกลางนครลูเซิร์น สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงทหารสวิสที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์คณะปฏิวัติบุกพระราชวังตุยเลอรีในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ปี ค.ศ. 1792 ซึ่งในขณะนั้นเหล่าพระราชวงศ์ได้หนีไปหมดแล้ว แต่ทหารสวิสก็ยังยืนหยัดทำหน้าที่ปกป้องพระราชวังจนมีหารเสียชีวิตไปถึง 760 คน (จาก 1200 คน) และยังมีทหารสวิสบางส่วนเสียชีวิตระหว่างคุ้มกันพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ที่ไปลี้ภัยยังอาคารสมัชชาแห่งชาติด้วย

อนุสาวรีย์แห่งนี้ได้รับการคุ้มครองเป็นให้เป็นมรดกแห่งชาติสวิส เพื่อสดุดีความกล้าหาญและความซื่อสัตย์ที่เป็นเรื่องขึ้นชื่อมากของทหารสวิส (จนทุกวันนี้วาติกันถึงยังใช้ทหารสวิสหรือที่เรียกว่า สวิสการ์ด มาตลอด)
เหนือสิงโตแห่งลูเซิร์นจะมีคำจารึกเป็นภาษาลาตินไว้ ซึ่งถ้าแปลเป็นภาษาอังกฤษจะได้ความหมายว่า “To the Loyalty and Courage of the Swiss”หรือ “แด่ความภัคดีและกล้าหาญของชาวสวิส”สถานที่แห่งนี้จะเปิดให้ชม 24 ชั่วโมงของทุกวัน เหมือนเป็นพื้นที่เปิดสำหรับสาธารณะ ว่างตอนไหนก็ไปชมกันได้นะคับ

จากจุดนี้ พวกผมก็เดินทางกันอีกครั้งไปยังเมืองที่เราจะไปพักค้างแรมกันคืนนี้นั่นคือเมือง Interlaken ซึ่งใช้เวลาเดินทางเพียง 1 ชั่วโมง 15 นาที
เมื่อไปถึงพวกผมก็ไป check in พักกันที่โรงแรมเก่าแก่ที่สวยมากๆโรงแรมหนึ่งในเมืองนี้ นั่นคือโรงแรม Hotel Royal St Georges Interlaken – MGallery

โดยส่วนตัวผมชอบพักโรงแรมที่มีการตกแต่งแบบเก่าแก่ เป็นสถาปัตยกรรมดั้งเดิมแบบนี้มากกว่าโรงแรมสมัยใหม่ ผมจึงใช้เวลาเดินสำรวจแบบเร็วๆในโรงแรมเพราะเดี๋ยวพวกผมต้องออกไปทานมื้อค่ำกัน



น่าเสียดายที่สภาพโรงแรมข้างนอกและข้างในดูเก่าและคลาสสิคดี แต่ในห้องนอนดันปรับให้ดู modern ซึ่งไม่เข้ากันเลย แอบผิดหวังเล็กๆ ในใจอยากได้โต๊ะ ตู้เตียงแบบย้อนยุคมากกว่า 555



เมื่อได้เวลาพวกผมก็ออกไปทานมื้อค่ำกันซึ่งวันนี้ทุกคนดูตื่นเต้นมากเพราะคืนนี้เราจะไปทานมื้อค่ำกันที่Grand Café Restaurant Schuh ซึ่งเป็นร้านอาหารที่เปิดบริการมาตั้งแต่ปี 1818 และได้รับโหวตให้ติดอันดับจาก tripvisor ด้วย

และสิ่งที่พิเศษมากๆของร้านนี้คือขายอาหารไทยด้วย วันนี้ที่พวกผมตื่นเต้นกันเพราะจะได้ทานอาหารไทยด้วยนั้นเอง
และผมเองต้องยอมรับเลยว่าจากประสบการณ์การทานอาหารไทยในต่างประเทศมาแล้วหลายร้าน ร้าน Grand Café Restaurant Schuh มีรสชาติอาหารไทยที่ใกล้เคียงกับบ้านเรามาก อร่อยกว่าหลายๆร้านที่เคยทานมากๆ พวกผมจึงค่อนข้าง enjoy การทานมื้อนี้เป็นพิเศษในค่ำวันนี้








มื้อนี้พวกผมเลยทานกันแอบจุกๆไปเลยครับ หลังจากนั้นพวกผมก็เดินกลับโรงแรมกันซึ่งตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกได้ว่าอากาศที่นี่หนาวมาก จริงๆมันเริ่มรู้สึกตั้งแต่ที่ลูเซิร์นแล้ว เพียงแต่ยังเป็นอากาศแบบเย็นๆนิดหน่อย แต่พอมาถึง Interlaken และเป็นเวลาดึกอย่างนี้อุณหภูมิลงไป 10 กว่าองศาเท่านั้นแม้จะเป็นหน้าร้อน เรียกว่าต่างกับที่อิตาลี เพราะตามที่ผมเคยเล่าไปในตอน Review เที่ยวอิตาลี สวิส ฝรั่งเศส 9 วัน 8 คืน Part 2 : ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ อิตาลี สวิสเซอร์แลนด์ และฝรั่งเศส ว่าสวิสเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่อยู่บนพื้นที่สูง ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขา แม้ในหน้าร้อนจึงมีอากาศเย็นสบาย เอาเข้าจริงผมว่าค่อนข้างหนาวเลย ยิ่งในเวลากลางคืน เพราะฉะนั้นอาจะเตรียมแจ็คเกตอุ่นๆกันมาด้วยนะครับ

ความหนาวในคืนนี้เป็นแค่ซอร์ฟๆ ถือเป็นการซ้อมเบื้องต้นไปก่อนเพราะพรุ่งนี้พวกผมจะไปสัมผัสอากาศหนาวและหิมะกันแบบจริงจังที่ยอดเขาจุงเฟรา ซึ่งผมจะเขียนมาเล่าในจดหมายฉบับต่อไป จะเป็นยังไงรอติดตามกันนะครับ


อยากให้คุณไปอยู่ตรงนั้นด้วยกัน
รักและคิดถึง
Mgastronome
Fanpage : M Eat and Travel