ถึง….เธอ
วันนี้เป็นวันที่ผมเดินทางมาเกินครึ่งทางแล้วของทริปท่องเที่ยวอิตาลี สวิส ฝรั่งเศส 9 วัน 8 คืน โดยตอนนี้ผมได้มาสัมผัสอากาศหนาวแบบเย็นสบายอยู่ที่เมือง Interlaken ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
ตื่นเช้ามาผมก็ลองเดินไปเปิดหน้าต่างดูวิวทิวทัศน์รอบๆโรงแรมซึ่งวันนี้อากาศดีมาก สัมผัสได้ถึงลมหนาวที่พัดโชยมาทำให้รู้สึกดีสุดๆ

หลังจากอาบน้ำแต่งตัวกันเรียบร้อย ผมก็ลงไปทานมื้อเช้ากันที่จุดนัดพบซึ่งวันนี้ทางบริษัททัวร์ได้จัดเซอร์ไพร้ซ์เป็นพิเศษให้พวกเราด้วยการแยกไปทานมื้อเช้าแบบ exclusive กันที่ห้องอาหารที่มีแต่กลุ่มพวกเราเท่านั้น
ที่สำคัญเมนูมื้อเช้าวันนี้เป็นเมนูข้าวต้มกุ้ยพร้อมเครื่องเคียงแบบจัดเต็ม ทั้งไข่เค็ม หมูหยอง และเกี๊ยมฉ่าย งานนี้ยอมรับเลยครับว่าประทับใจมาก เพราะไม่เคยคิดว่าจะเจอเมนูข้าวตุ้มกุ้ยในโรงแรมยุโรปแบบนี้



นอกจากเมนูข้าวต้มกุ๊ยแล้ว ทางโรงแรมก็ยังจัดอาหารเช้าแบบตะวันตกแบบปกติไว้ให้ด้วย



จัดเต็มกันไปอีกมื้อครับ

หลังจากทานกันอิ่มแล้ว ผมยังมีเวลาอีกนิดหน่อยก่อนจะถึงเวลานัดหมาย ก็เลยเดินถ่ายรูปเล่นรอบๆโรงแรมเพื่อฆ่าเวลา




เป็นโรงแรมที่สวยและคลาสสิคดีครับ

เมื่อได้เวลานัดหมายทุกคนก็พร้อมเดินทางไปท่องเที่ยวกันแล้ว โดยวันนี้เราจะไปขึ้นยอดเขาจุงเฟรากันซึ่งเป็นยอดเขาที่ขึ้นชื่อว่าสูงที่สุดในยุโรป
การเดินทางไปยอดเขาจุงเฟรา เราจะไป start จุดแรกกันที่ กรินเดิลวัลท์ ก่อน
กรินเดิลวัลท์ (Grindelwald)
เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในอินเทอร์ลาเคินตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 1,034 เหนือระดับน้ำทะเล เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวเพราะนอกจากจะเป็นจุดที่จะขึ้นไปยอดเขาจุงเฟราแล้ว หมู่บ้านแห่งนี้ยังตั้งอยู่บนเชิงเขาไอเกอร์ซึ่งเป็นหนึ่งในสามขุนเขาที่ยิ่งใหญ่ของสวิว (จุงเฟรา ไอเกอร์ และมองซ์) ระหว่างทางขึ้นไปหมู่บ้านจึงได้เห็นภาพความสวยงามและยิ่งใหญ่ๆของวิวทิวทัศน์ 2 ข้างทางไปด้วย


กรินเดิลวัลท์เป็นจุดเริ่มต้นที่พวกผมจะไปนั่งรถไฟสู่ยอดเขาจุงเฟรากัน
เพิ่งรู้ว่าถ้ามาเป็นกลุ่มสามารถกั้นโซนโดยเฉพาะได้ด้วย




เมื่อรถไฟค่อยๆ ไต่ขึ้นไปบนภูเขาสูง คุณจะเห็นทิวทัศน์ของกรินเดลวาลด์จากมุมสูงที่สวยงามมาก โดยตัวหมู่บ้านจะกระจัดกระจายไปตามที่ลาดเชิงเขา เป็นบ้านแบบสวิสชาเล่ต์ที่สวยงามและเป็นเอกลักษณ์





การนั่งรถไฟขึ้นเขาจุงเฟรานั้นปกติจะทำได้ 2 ทางคือ..จาก Interlaken ไปเมือง Grindelwald หรือ สามารถไปอีกทางที่เมือง Lauterbrunnen แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งสองทางรถไฟจะมาบรรจบกันที่สถานี Klein Scheidegg เพื่อเปลี่ยนขบวนรถไฟเป็นชบวนรถสายสีแดง ขึ้นสู่ยอดเขาจุงเฟรา



เจ้าตัวขบวนรถไฟสีแดงที่ค่อยๆไต่ขึ้นเขาที่ลาดชันมากๆนี่ละครับมักถูกใช้เป็นภาพโปรโมทการท่องเที่ยวของสวิสและเขาจุงเฟรา โชคดีที่ผมมีโอกาสได้เห็นภาพนี้ด้วยตาตอนขากลับ มันดูสวยจริงๆครับ


รถไฟจะมาหยุดอีกครั้งที่สถานี Eigerwand station ซึ่งเป็นสถานีที่เจาะผ่านไปใต้หุบเขา โดยรถไฟจะหยุดที่สถานีนี้ 5 นาทีเพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินออกไปชมวิวได้





ที่สถานีนี้จะมีรูปปั้นของ Adolf Guyer-Zeller ผู้ก่อตั้งและสร้างทางรถไฟสายจุงเฟรานี้ด้วย

หลังจากรีบดูวิวแบบรีบไปรีบกลับ พวกผมก็กลับมาขึ้นรถไฟใหม่เพื่อขึ้นไปยังยอดเขาจุงเฟรา
ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau)
เป็นหนึ่งในยอดเขาที่สูงที่สุดบนเทือกเขาแอลป์ ในระดับที่มากกว่า 4000 เมตร ยอดเขาจุงเฟรา มีความสูงถึง 4,158 เมตร และมีสถานีรถไฟจุงเฟรายอค (Jungfraujoch) เป็นสถานีรถไฟที่สูงที่สุดในยุโรป (Top of Europe) โดยได้รับการจดทะเบียนเป็นพื้นที่มรดกโลกทางธรรมชาติแห่งแรกของยุโรปโดยองค์การยูเนสโก เมื่อปี ค.ศ. 2007


ใครที่ต้องการที่จะขึ้นไปเที่ยวยังจุงเฟราผมคงมีคำแนะนำที่สำคัญ 2 เรื่อง
เรื่องแรก…การแต่งกายเพราะอุณหภูมิเฉลี่ยบนยอดเขาจุงเฟราจะอยู่ที่ประมาณ -10 ถึง 9 องศาเซลเซียส และจะมีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี
ดังนั้นเสื้อผ้าและอุปกรณ์ต่างๆต้องพร้อม ทั้งถุงมือ ผ้าพันคอ คงต้องทนความหนาวในอุณหภูมิที่ผมแจ้งข้างต้นได้ รวมทั้งรองเท้าที่สะดวกในการเดินบนหิมะได้โดยไม่ลื่นล้ม ซึ่งผมแนะนำว่าวันที่ขึ้นมาเที่ยวยอดเขาจุงเฟราควรใส่รองเท้ากีฬามาจะดีที่สุด
อีกเรื่องซึ่งสำคัญมากกว่าเครื่องแต่งกายเพราะเขาจุงเฟรามีความสูงกว่า 4000 เมตร ซึ่งใครที่ไม่ระวังหรือเตรียมตัวดีๆอาจอันตรายถึงชีวิตได้โดยเฉพาะผู้สูงอายุด้วยโรค Altitude Sickness ซึ่งผมเคยเขียนอธิบายไว้ในตอนที่ผมไปเที่ยวจีน ทริปสู่แดนสวรรค์ ต้าลี่ แชงกรีล่า ลี่เจียง Part 2 : ข้อควรรู้ก่อนเที่ยวตาลี่ แชงกรีล่า ลี่เจียง
Altitude Sickness เป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถปรับตัวได้จากระดับความสูงที่เปลี่ยนไปแบบกระทันหัน รวมทั้งพื้นที่ๆอาจมีอากาศเบาบางซึ่งจะส่งผลกระทบต่อร่างกายโดยเริ่มจากปวดศรีษะ วิงเวียน อาเจียน ใจเต้น เหนื่อยหอบ ไปจนกระทั่งหมดสติ และถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยมากจะเกิดขึ้นกับพื้นที่ๆที่มีความสูง 2000 เมตรจากระดับน้ำทะเลขึ้นไป และโอกาสจะเกิดโรคนี้จะเพิ่มขึ้นถึง 40% ในพื้นที่ๆมีความสูงมากกว่า 3,000 เมตรเหนือน้ำทะเล
นอกจากเตรียมความพร้อมทางร่างกายให้แข็งแรงแล้ว คุณควรจะเตือนตัวเองเสมอให้ทำอะไรให้ช้าลง รวมทั้งบางคนอาจทานยาป้องกันโรค Altitude sickness อย่าง Acetazolamide และ Dexamethasone เพื่อช่วยปรับสภาพร่างกาย อย่างไรก็ดีผมแนะนำว่าคุณควรปรึกษาแพทย์ก่อนนำยาไปใช้จะดีที่สุดเพื่อให้แน่ใจว่าคุณไม่แพ้ยาตัวใดตัวหนึ่งในนี้
ให้ข้อมูลสำคัญกับคุณไปครบแล้วคราวนี้ก็ได้เวลาเที่ยวกันครับ เมื่อถึงสถานีจุงเฟรา ผมเริ่มกันที่จุดหมายแรกคือ
อุโมงค์น้ำแข็ง Eispalast (Ice Palace)
เป็นทางเดินภายในอุโมงค์น้ำแข็งที่เหมือนทำให้คุณไปอยู่อีกโลกหนึ่งที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งที่มีอากาศหนาวเย็น และน้ำแข็งล้อมรอบไปทั่วซึ่งทำให้พื้นค่อนข้างลื่น ดังนั้นจึงอย่างที่ผมเตือนไว้ว่ารองเท้าต้องพร้อมเดินบนพื้นน้ำแข็งด้วยนะครับ

ในอุโมงค์นี้จะมีรูปปั้นน้ำแข็งให้เราชมแทรกไปตลอดทางเดิน มีมุมให้แวะยืนถ่ายรูปกันได้ตลอด แต่ต้องระวังด้วยนะครับ พื้นลื่นมาก




อุโมงค์น้ำแข็งจะนำคุณไปสู่ทางออกด้านนอกที่เป็นลานที่เต็มไปด้วยหิมะ ให้คุณออกไปสัมผัสหิมะแบบจริงๆ พร้อมวิวทิวทัศน์ที่เว่อร์วังอลังการมาก




ผมเชื่อว่าถ้าใครยังไม่เคยสัมผัสหิมะจริงๆ การมาได้สัมผัสหิมะบนยอดเขาแห่งนี้พร้อมวิวทิวทัศน์แบบนี้คงเป็นภาพจำที่ประทับใจไปตลอดชีวิต



ผมใช้เวลาถ่ายรูปตรงนี้ค่อนข้างนาน ซึ่งโชคดีที่ผมมาที่นี่ในหน้าร้อน วันนี้ท้องฟ้าจึงใสมากๆ แดดส่องแบบสุดๆ ถ่ายภาพมุมไหนก็สวยไปหมด ที่สำคัญมันไม่หนาวจนจนเกินไป ทำให้ผมอยู่ข้างนอกได้นานเลย แต่ถ้าคุณมาหน้าหนาวที่อากาศปิด ท้องฟ้ามืด หรือมีหิมะตก รวมทั้งเจออากาศติดลบเข้าไปคงจะอีกบรรยากาศแน่ๆ



ผมถ่ายรูปจนถึงเวลาพอสมควรก็ได้เวลาไปทานมื้อเที่ยงซึ่งที่ยอดเขาจุงเฟรานี้มีร้านอาหารให้บริการด้วยซึ่งมีการแบ่งโซนให้ทั้งนักท่องเที่ยวทั่วไปและกรุ๊ปทัวร์

สำหรับอาหารมื้อนี้ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษนะครับ ก็มาตามสูตรอาหารฝรั่ง ขนมปังบวกเนย ซุปมันฝรั่ง ไก่ราดน้ำซอสเกรวี่มาพร้อมมันฝรั่งทอด และปิดท้ายด้วยไอศครีมที่มาในธีมธงชาติสวิสเซอร์แลนด์




เรื่องอาหารอาจจะไม่เท่าไหร่ แต่วิวด้านนอกนี้ให้เกินร้อยไปเลย คงมีไม่กี่ครั้งในชีวิตหรอกนะครับที่เราจะมาทานอาหารบนสถานที่ซึ่งมีความสูงเกือบ 4 พันเมตร พร้อมกับวิวภูเขาสูงที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสุดลูกหูลูกตา ช่วยทำให้อาหารอร่อยขึ้นเยอะเลย


อิ่มมื้อเที่ยงกันแล้ว ผมก็ขึ้นไปที่ระดับความสูงอีกนิดแต่เป็นจุดที่สูงที่สุดแล้วในบริเวณนี้ โดยมีทั้งลิฟต์และบันได้ให้บริการ
ระหว่างทางจะผ่านห้องที่ฉายภาพจุงเฟราแบบ 3D ด้วย


หอดูดาวสฟิงคส์ (Sphinx-Observatorium)
เป็นหอดูดาวที่อยู่สูงที่สุดของทวีปยุโรป ก่อตั้งเมื่อค.ศ. 1937 ณ ระดับความสูง 3,571 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล หอดูดาวแห่งนี้มีระเบียงชมวิวที่สูงเป็นอันดับสองของประเทศรองจากไคลน์มัทเทอร์ฮอร์น


จากระเบียงชมวิวของหอดูดาวสฟิงคส์ สามารถมองเห็นยอดเขาจุงเฟรา ยอดเขาเมินช์ และยอดเขาไอเกอร์ เป็นวิวที่ยิ่งใหญ่มากครับ




เมื่อได้เวลาผมก็ลงมาจุดสุดท้ายซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์การก่อสร้างทางขึ้นเขาจุงเฟรา รวมทั้งร้านของที่ระลึกก็อยู่ในบริเวณนี้ด้วย



จากนั้นก็ได้เวลาลงเขากันละครับ ซึ่งผมจะลงไปอีกทางหนึ่งตามที่ผมได้เล่าไว้ในตอนแรกว่าทางขึ้นยอดเขาจุงเฟรานั้นมี 2 ทาง ตอนขึ้นผมขึ้นมาทางเมือง Grindelwald แต่ทางลงผมจะลงไปทางเมือง Lauterbrunnen เนื่องจาก 2 เส้นทางนี้จะให้วิวทิวทัศน์ที่สวยงามต่างกันออกไป แต่ก็สวยมากครับ สวยจริงๆ






ตอนระหว่างลงเขานี่เอง ที่ผมได้ภาพรถไฟขบวนสีแดงที่กำลังไต่เขาที่สูงตะหง่านเป็นฉากหลัง โชคดีมากๆเลยครับ


อีกภาพที่ผมถ่ายมาได้ด้วยความบังเอิญ เพิ่งมารู้ทีหลังว่าเป็น highlight สำคัญของทริปนี้เหมือนกัน
ระหว่างทางลงถ้าคุณมองไปทางซ้ายจะเห็น highlight สำคัญของเมือง Lauterbrunnen ซึ่งมักมีภาพนี้อยู่ในการโปรโมทท่องเที่ยวของสวิสเช่นกัน
น้ำตกชเตาบ์บาค (Staubbachfall)
น้ำตกมีชื่อเสียงในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองเลาเทอร์บรุนเนิน (Lauterbrunnen๗ เป็นน้ำตกที่ไหลออกมาจากหุบเขาที่ความสูง 297 เมตร ถือเป็นน้ำตกที่มีความสูงเป็นอันดับสามในประเทศ

สิ่งที่ทำให้น้ำตกนี้มีชื่อเสียงคือภาพความสูงของสายน้ำและหมู่บ้านเล็กๆเบื้องล่างทำให้วิวทิวทัศน์ของน้ำตกแห่งนี้สวยงามจนเป็นที่พูดถึงกันมากในหมู่นักท่องเที่ยว

ผมมาถึงสถานีรถไฟของเมือง Lauterbrunnen ในช่วงเย็นซึ่งตอนนั้นรสบัสก็มารอพวกผมเพื่อกลับไปที่เมือง Interlaken กันแล้ว โดยเมื่อไปถึงเมือง Interlaken พวกผมก็มีเวลาเดินชมเมืองพร้อมทั้งshopping กันนิดหน่อยก่อนจะไปทานมื้อเย็นซึ่งเป็นอาหารที่ใครมาสวิสแล้วต้องลอง






มื้อเย็นวันนี้เราทาน steak กันอีกครั้ง (วนลูป555) แต่ทีพิเศษก็คือมื้อนี้ผมได้ลองสวิสฟองดูชีสด้วย

ฟองดูชีส ( Cheese Fondue )
เป็นหนึ่งในอาหารขึ้นชื่อของสวิตเซอร์แลนด์ เพราะชีสของสวิสจะมีชื่อเสียงเรื่องรสชาติที่หอมมันต่างจากชีสที่ผลิตจากประเทศอื่น ๆ โดยฟองดูชีส จะมาจากการผสมชีสสวิสถึง 3 ชนิด คือ ชีสกรูว์แยร์ ซีสอัพเพนเซลเลอร์ และชีสเอมเมนทัลเข้าด้วยกัน

ฟองดูเป็นอาหารที่ชาวสวิสรับประทานกันในฤดูหนาวมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยจะนำชีสมาอุ่นรวมกันในหม้อเคลือบกาเกอลง ซึ่งตั้งไว้บนเตาแบบพกพา จากนั้นก็จะใช้ส้อมด้ามยาวจิ้มขนมปัง หรือมันฝรั่งลงไปชุบชีสแล้วนำขึ้นมาทาน ส่วนใหญ่จะทานพร้อมไวน์ขาว และกระเทียม
คือต้องยอมรับนะครับว่าชีสของสวิสมีความเข้มข้น หวาน มันได้รสชาติจริงๆ แต่ผมลองทานไปไม่เยอะนะครับ แม้จะมีไวน์ขาวมาช่วยตัดรสแล้วแต่ก็ยังรู้สึกค่อนข้างเลี่ยนอยู่ดี แต่ก็เป็นประสบการณ์ใหม่ที่ดีได้มาลองอาหารชนิดนี้ถึงต้นตำหรับ

สำหรับคืนนี้จะเป็นคืนสุดท้วยแล้วที่ผมจะอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ พรุ่งนี้ผมจะข้ามไปประเทศสุดท้ายในทริปนั่นคือฝรั่งเศสด้วยการนั่งรถไฟความเร็วสูง TGV ของฝรั่งเศส จะเป็นยังไงผมจะเขียนมาเล่าในตอนหน้านะครับ


อยากให้คุณไปอยู่ตรงนั้นด้วยกัน
รักและคิดถึง
Mgastronome
Fanpage : M Eat and Travel