ถึง..เธอ
วันนี้จะเป็นวันที่ผมจะข้ามจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ไปฝรั่งเศสโดยผมจะนั่งรถจากเมือง Interlaken ของสวิสข้ามไปฝรั่งเศสที่เมือง Starbrourg ซึ่งเป็นเมืองชายแดนฝรั่งเศสที่ติดกับชายแดนสวิส โดยจะใช้เวลาประมาณ 3 ชมกว่า
ดังนั้นวันนี้ทางผมจึงไม่ได้ทานอาหารเช้ากันที่โรงแรม โดยทางโรงแรมมีการจัดเซตอาหารเช้าให้เพื่อไปทานกันบนรถกันแทน

พวกผมมาถึงเมือง Starbrourg ในช่วงใกล้ๆเที่ยงเพื่อจะมาขึ้นรถไฟความเร็วสูงของฝรั่งเศสไปปารีส โดยเมืองสตราซบูร์ เป็นเมืองในแคว้นกร็องแต็สต์ ประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำอีลใกล้ชายแดนประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และเยอรมนี เป็นเมืองที่สำคัญทั้งทางด้านอุตสาหกรรม การค้า และเป็นศูนย์กลางการขนส่งแถบนี้ด้วย



เนื่องจากพวกผมมาถึงช่วงเที่ยงพอดี เลยรีบไปทานมื้อเที่ยงกันก่อนที่ร้านอาหารบริเวณหน้าสถานีรถไฟ Starbrourg


มื้อนี้ทานกันง่าย เร็วๆ เพราะต้องเผื่อเวลาไปสถานีรถไฟอีก ส่วนรสชาติไม่ต้องพูดถึง…ไม่อร่อยครับ ฮา




เมื่อทานมื้อเที่ยงกันเรียบร้อยแล้ว พวกผมก็เดินข้ามไปสถานีรถไฟ Starbrourg กันซึ่งถ้ามองภายนอกจะเห็นเป็นอาคารที่มีรูปทรงที่ทันสมัยมาก แต่ถ้ามองดูดีๆจะเห็นว่าโดมกระจกทรงไข่นั้นได้สร้างครอบตัวอาคารเดิมที่สร้างมาตั้งแต่ปี 1878 โดยสถาปนิกชาวเยอรมัน Johann Eduard Jacobsthal ในส่วนของโดมกระจกที่ครอบนั้นออกแบบโดย Jean-Marie Duthilleul ซึ่งทำให้อาคารแห่งนี้ได้รับรางวัล Brunel Award ในปี 2008 ด้วย



ภายในสถานีก็มีการผสมผสานระหว่างความเก่า ความใหม่ ออกมาเป็นสถานีที่สวยงามคลาสสิคมาก


วันนี้พวกผมจะมีโอกาสได้ขึ้นรถไฟ TGV ซึ่งเป็นรถไฟความเร็วสูงของฝรั่งเศส และถือเป็นรถไฟความเร็วสูงแห่งแรกของยุโรปที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1981
รถไฟ TGV สามารถทำลายสถิติความเร็วของรถไฟล้อเลื่อนแตะระดับด้วยความเร็วสูงสุดที่ 574.8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ปัจจุบันขบวนรถจะวิ่งด้วยความเร็วตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางเฉลี่ยสูงสุดที่ 279.4 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

สิ่งที่ผมประหลาดใจคือเมื่อไปถึงชานชาลา บริเวณชานชาลาก็ดูมีสภาพไม่ต่างกับสถานีรถไฟทั่วๆไป แม้จะมีรถไฟความเร็วสูงให้บริการ อาจจะสถานีแห่งนี้ใช้รถไฟทั้งแบบปกติและแบบความเร็วสูงร่วมกัน

เมื่อถึงเวลาบ่ายสอง รถไฟที่จะนำผมไปปารีสแบบด่วนๆก็มาถึง โดยแม้ระยะห่างระหว่างสองเมืองนี้จะอยู่ที่ 490 กิโลเมตร แต่ TGV จะนำผมไปถึงปารีสภายใน 2 ชั่วโมงเท่านั้น



ด้านในรถไฟ จะเป็นสองชั้นซึ่งผมได้ที่นั่งบนชั้น 2 ทำให้ได้เห็นวิวข้างทางได้ดีมากๆ แต่จริงๆ นอกจากความเร็วแล้ว ภายในรถไฟก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากรถไฟปกติทั่วไปเลยครับ




ในรถไฟ ที่จอมอนิเตอร์นอกจากจะให้ข้อมูลทั่วๆไปแล้วจะคอยอัพเดทความเร็วของรถไฟที่วิ่งอยู่ในขณะนั้น ซึ่งเท่าที่ผมเห็นความเร็วสูงสุดที่ขบวนรถไฟนี้ใช้คือ 307 กิโมเมตรต่อชั่วโมง

ด้วยความเร็วขนาดนี้ทำให้แค่ 2 ชั่วโมง ผมก็เดินทางมาถึงกรุงปารีส เมืองหลวงของฝรั่งเศส



เพียงแค่เดินออกมาข้างนอกก็ได้เห็นตึกรามบ้านช่องที่มีสถาปัตยกรรมสวยงามแบบดั้งเดิมซึ่งผมชอบบรรยากาศบ้านเมืองที่มีบ้านเรือนเก่าๆแต่คลาสสิคแบบนี้มากครับ


เนื่องจากพวกผมมาถึงปารีสกันค่อนข้างเย็นมากแล้ว พวกผมจึงเดินเที่ยวกันนิดหน่อย แล้วไปทานอาหารเย็นกันเลย เพราะโปรแกรมไฮไลท์หลังอาหารเย็นที่รออยู่คือการไปล่องเรือสำรวจแม่น้ำแซนใจกลางกรุงปารีสในยามค่ำคืน เพื่อสัมผัสแสงสีของเมืองที่ได้ชื่อว่าโรแมนติกที่สุดในโลก

อาหารมื้อเย็นนี้ก็มีความพิเศษมากๆเพราะเราจะไปทานอาหารไทยกัน แถมเป็นอาหารไทยแบบอีสาน มีส้มตำ มีลาบ ให้ทานด้วย เรียกว่าช่วยเติมพลังกาย พลังใจได้ดีเลย







และต้องบอกเลยว่ารสชาติอาหารไทยที่มีเจ้าของเป็นคนไทยแท้ๆ ร้านนี้คือดีมาก อร่อยเลยครับ แม้รสชาติจะไม่จัดจ้านแบบอีสานแท้ๆ แต่สำหรับคนที่ไม่ทานเผ็ดแบบผมคือกำลังดีเลย

อิ่มมื้อเย็นกันแล้วก็พลบค่ำพอดี เลยได้เวลาที่ผมจะไปลงเรือชมวิวปารีสในยามค่ำคืน แล่นไปตามสถานที่สำคัญ เช่นพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Louvre), มหาวิหารน็อทร์-ดาม (Notre-Dame Cathedral) และ หอไอเฟล (Eiffel Tow)
จุดขึ้นเรืออยู่บริเวณตรงข้ามหอไอเฟลเลย ดังนั้นผมจึงได้เห็นความสวยงามในยามค่ำคืนซึ่งสวยงามมากๆ

จากจุดนี้เรือจะล่องไปเรื่อยๆและวนกลับมาจุดเดิมอีกครั้งโดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง โดยเรือจะมีสองชั้นซึ่งถ้าคุณอยากได้เห็นวิวแบบชัดๆก็ต้องขึ้นไปชั้นบน

ริมฝั่งแม่น้ำแซนในปารีสได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2534 โดยพื้นที่นี้ครอบคลุมตั้งแต่สะพานปงเดอซูว์ลีถึงปงดีเยนา รวมความยาวของแม่น้ำแซนกว่า 8 กิโลเมตรที่มีสถานที่สำคัญของฝรั่งเศสตั้งอยู่มากมาย อาทิ หอสมุดแห่งชาติฝรั่งเศส, ซีพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Louvre), มหาวิหารน็อทร์-ดาม (Notre-Dame Cathedral) และ หอไอเฟล (Eiffel Tower)






บริการล่องเรือแม่น้ำแซน ในช่วงเดือนเมษายน – เดือนกันยายน จะมีให้บริการตั้งแต่เวลา 10.00 น. ไปจนถึงเวลา 22.30 น. โดยจะมีเรือมาทุกๆ 3 ชั่วโมง ส่วนในช่วงเดือนตุลาคม – เดือนมีนาคม จะให้บริการตั้งแต่เวลา 10.30 น. ไปจนถึงเวลา 21.20 น. โดยมีเรือมาทุกๆชั่วโมง มีราคาเริ่มต้นที่ 45 ยูโร/คน ซึ่งราคานี้รวมค่าบริการ Hop-on Hop-off ไว้แล้วด้วย


หลังจากมีความสุขจากการล่องเรือจนอิ่มอกอิ่มใจไปกับคืนแรกในปารีสแล้ว เมื่อกลับลงมาที่ฝั่ง ผมก็ต้องมาเจอความจริงที่โหดร้ายของการเที่ยวในฝรั่งเศสที่มักจะมีคนเตือนมาอย่างสง่ำเสมอนั่นคือเรื่อง…ขโมยขโจร
ยุโรป…โดยเฉพาะฝรั่งเศสขึ้นชื่อเรื่องนี้มาก ผมเองก็ไปเที่ยวมาหลายประเทศทั้งประเทศพัฒนาหรือยังไม่พัฒนา ยังไม่เคยโดนขโมยอะไรเลยสักครั้ง (ขนาดเวียดนามที่ว่าโหดๆก็รอดมาได้) แต่รอบนี้ที่ฝรั่งเศสไม่รอดครับ
หลังจากขึ้นมาบนฝั่งแล้ว ผมก็เปิดกระเป๋าสะพายเพื่อจะหยิบของอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเปิดกระเป๋าก็ต้องตกใจเมื่อพบว่า…แว่นตากันแดดที่วางไว้บนสุดหายไปแล้ว นาทีนั้นผมเลยรีบค้นกระเป๋าใหญ่เลยครับแต่ก็ไม่มี ก็เลยนึกถึงเหตุการณ์ตอนเดินลงเรือที่ผมรู้สึกว่ากระเป๋ากระตุก เหมือนมีใครดึงกระเป๋า ก็เลยหันไปมอง แต่ไม่เห็นอะไร กระเป๋าก็ยังปิดดีเลยไม่ได้เปิดกระเป๋าเช็ค เลยคิดว่าน่าจะจังหวะนั้นแหละคับที่แว่นน่าจะถูกเอาไป
ผมยังโชคดีที่เสียแค่แว่นกันแดด แต่จริงๆแล้วในมุมของราคา แว่นตากันแดดอันนี้ก็ค่อนข้างราคาสูงประมาณนึง (เกินหมื่น) แต่ที่เสียใจคือมันเป็นแว่นตาคู่ใจที่ชอบมากที่สุด ใช้ใส่ถ่ายรูปมากที่สุด ถ้าจะเสียดายก็เสียดายตรงนี้มากกว่า ยังไงก็ต้องระวังไว้ด้วยนะครับ
คืนนี้ผมเลยเข้าพักที่โรงแรมแบบเซ็งๆ โดยผมเข้าพักที่โรงแรม Pullman Hotel Paris ซึ่งเป็นโรงแรมที่โอเคมากๆครับ มีความสะดวกสบายและ Facility ครบครันเลย


ห้องก็ดูใหม่ และดูทันสมัยดีครับ



พรุ่งนี้ผมจะเขียนมาถึงวันที่อัดแน่นไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็น Highlight ของฝรั่งเศส



อยากให้คุณไปอยู่ตรงนั้นด้วยกัน
รักและคิดถึง
Mgastronome
Fanpage : M Eat and Travel