ถึง…เธอ
วันนี้จะวันสุดท้ายแล้วสำหรับทริปเที่ยวอิตาลี สวิส ฝรั่งเศส 9 วัน 8 คืน ซึ่งผมคิดว่ากำลังพอดีเพราะไม่สั้นไม่ยาวเกินไป
ตื่นเช้ามาเลยออกไปมองวิวด้านนอกซึ่งท้องฟ้าค่อนข้างขมุกขมัว มีหมอกปรึกคลุมไปทั่วๆ แต่จริงๆก็ไม่แน่ใจว่าที่เห็นเป็นหมอกหรือควัน PM 2.5 กันแน่ ฮา

หลังอาบน้ำแต่งตัวก็ได้เวลาลงไปทานมื้อเช้า ซึ่งโรงแรม Pullman Paris ถือว่ามีอาหารเช้าเยอะและหลากหลายทีเดียว ที่สำคัญมีข้าวด้วยเป็นเมนูประจำเลย อาจจะเพราะมีคนไทยและคนเอเชียมาพักเยอะ




เมื่อทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินทางไปจุดหมายแรกในวันนี้คือหอไอเฟล
หอไอเฟล (Eiffel Tower)
เป็นหอคอยโครงสร้างเหล็กตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำแซน ในกรุงปารีส เป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสที่เป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก เรียกว่านักท่องเที่ยวหลายต่อหลายคนจะมีความฝันที่จะมาถ่ายรูปคู่กับหอไอเฟลสักครั้งในชีวิต

หอไอเฟล เป้นหอคอยที่มีความสูง 324 เมตร หรือสูงเท่ากับตึก 81 ชั้น ตั้งชื่อตามกุสตาฟ ไอเฟล สถาปนิกและวิศวกรชั้นนำของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ออกแบบ โดยสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ของงานแสดงสินค้าโลก ในปี ค.ศ. 1889



เมื่อผมไปถึง แม้จะค่อนข้างเช้าแล้วแต่ก็มีคนมายืนออรอคิวอยู่เยอะมากๆ ขนาดกลุ่มผมจองตั๋วมาล่วงหน้าแล้วก็ต้องมาเข้าคิวเพื่อขึ้นไปบน tower นานเหมือนกัน



แต่อย่างที่ผมเขียนเล่าไว้ในตอน Review เที่ยวอิตาลี สวิส ฝรั่งเศส 9 วัน 8 คืน Part 9 : Day 7 Paris Day #2 ถ้าคุณอยากได้รูปคู่หอไอเฟลสวยๆ คุณก็สามารถไปยืนถ่ายที่ อนุสรณ์สถาน ปาแลเดอชาโย (Palais de Chaillot) ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้ หรือไม่ก็ต้องไปยืนถ่ายจากสวนสาธารณะ Champ de Mars ที่สามารถมองเห็นวิวหอไปเฟลได้แบบเต็มๆ เช่นกัน

การขึ้นหอไอเฟลจะใช้วิธีเดินขึ้นหรือขึ้นลิฟท์ก็ได้ ซึ่งในวัยแบบผมคงตัดเรื่องเดินไปเลย ฮา ยังไงก็คงต้องขึ้นลิฟท์แม้ค่าขึ้นจะแพงกว่ามาก และเก็บตามจำนวนชั้นที่ขึ้นไปด้วย โดยถ้าขึ้นไปชั้นบนสุดราคาตั๋วต่อคนคือ 90 ยูโร แต่ถ้าไปแค่ชั้นสองราคาจะแค่ 60 ยูโร


ผมขึ้นไปถึงชั้นบนสุดก็ได้เห็นวิวสวยๆของเมืองปารีสทั้งเมือง รวมทั้งแม่น้ำแซนด้วย


นอกจากนั้นยังได้เห็น ปาแลเดอชาโย (Palais de Chaillot) ที่ผมไปมาเมื่อวาน ถึงเพิ่งรู้ว่ามันใหญ่โตมากขนาดนี้


จริงๆ ราคาขึ้นหอไอเฟลก็ค่อนข้างสูง คือเกือบ 100 ยูโร ในความเห็นผมถ้าคุณไม่ได้อยากชมวิวเมืองแบบกว้างๆ ผมว่าไม่ต้องขึ้นก็ได้เพราะมันเหมือนแค่ขึ้นไปชมวิว


แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของคุณนะครับ
จากหอไอเฟล ผมก็ไปต่อที่ highlight สำคัญอีกแห่งในปารีส
ประตูชัยฝรั่งเศส (Arc de Triomphe)
เป็นซุ้มโค้งประดับด้วยประติมากรรมที่สวยงาม มีคำจารึก และสิ่งตกแต่งที่นิยมสร้างกันมาตั้งแต่สมัยโรมันเพื่อฉลองชัยชนะในการรบแต่ละคราว

ประตูชัยฝรั่งเศสสร้างขึ้นปีพ.ศ. 2349 ถูกจัดอันดับเป็นประตูชัยที่ใหญ่อันดับ 2 ของโลก สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองโอกาสที่จักรพรรดิ นโปเลียนได้รับชัยชนะจากยุทธการเอาสเตอร์ลิทซ์ ใช้เวลาก่อสร้างยาวนานกว่าสามสิบปี

ประตูชัยฝรั่งเศสเป็นจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดของถนนถึง 12 เส้นทาง หนึ่งในถนนที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลกก็มาบรรจบที่ตรงนี้ ดังนั้นผมจึงเดินเที่ยวต่อที่ถนนสายนี้ได้เลย


ถนนช็องเซลีเซ (Champs Elysees)
เป็นถนนในเขตที่ 8 ของกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นย่านการค้าที่ประกอบด้วยโรงละคร ร้านกาแฟ และร้านค้าแบรนด์เนมที่หรูหรา ตลอดสองข้างทางมีต้นเกาลัดที่ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามปลูกเรียงรายกัน

ชื่อถนน “ช็องเซลีเซ” มาจาก “ทุ่งเอลิเซียม” จากเทพปกรณัมกรีกในภาษาฝรั่งเศส โดยเป็นถนนที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นถนนที่สวยที่สุดในโลก


พวกผมถือโอกาสเดินเล่นและช็อปปิ้งกันที่ถนนสายนี้กันนิดหน่อยก่อนที่จะถือโอกาสทานมื้อเที่ยงกันที่ร้านอาหารจีนที่ถนนสายนี้กันเลย



ร้านอาหารจีนร้านนี้รสชาติอร่อยถูกปากเลยครับ ถือว่าเป็นการปรับรสชาติจากฝรั่งไปเป็นเอเชีย ครั้งสุดท้ายก่อนจะกลับเมืองไทย เป็นมือที่จุดชุดใหญ่ไฟกระพริบจริงๆ

หลังจากทานมื้อเที่ยงกันแล้ว ก็ได้เวลาไปสถานที่สำคัญอีกสถานที่ซึ่งถ้าใครมาฝรั่งเศสจะพลาดไม่ได้
พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Louvre Museum)
เป็นพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะที่มีชื่อเสียงที่สุด เก่าแก่ที่สุด และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แถมยังมีตำแหน่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้มาเยี่ยมชมมากที่สุดในโลกอีกด้วย

พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ได้เปิดให้สาธารณชนเข้าชมได้เมื่อปี ค.ศ. 1793 โดยตัวอาคารเดิมเคยเป็นพระราชวังหลวง ปัจจุบันเป็นสถานที่จัดแสดงและเก็บรักษาผลงานทางศิลปะระดับโลกเป็นจำนวนมากกว่า 35,000 ชิ้น จากตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงศตวรรษที่ 19





เมื่อเข้าไปในพิพิธภัณฑ์จะเจอสัญลักษณ์ที่เด่นมากและถือเป็นจุดจำของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เลยคือ พีระมิดแก้ว ที่สร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 ออกแบบโดย ไอ. เอ็ม. เป่ย เพื่อแก้ปัญหาทางเข้าของพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ที่ไม่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนมากในแต่ละวันได้ จึงมาสร้างทางเข้าด้านนอกและใช้พีระมิดเป็นจุดสังเกตุ ที่มีทั้งพีระมิดด้านบนและพีระมิดกลับหัวด้านล่าง ทำให้นักท่องเที่ยวไม่หลงทางเหมือนในอดีต

พีระมิดแก้วนี้สร้างขึ้นจากแผ่นกระจกทั้งหลัง มีโดยใช้แผ่นกระจกรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนจำนวน 603 แผ่น และแผ่นกระจกรูปสามเหลี่ยม 70 แผ่น



เมื่อเข้าสู่ด้านในก็จะมีผลงานศิลปะในรูปแบบต่างๆทั้งปูนปั้น ภาพวาด วัตถุโบราณ เครื่องประดับมากมาย เรียกว่าถ้าจะเดินดูทั้งหมด คงใช้เวลาเป็นวันๆ







Venus De Milo ประติมากรรมหินอ่อนแกะสลักรูปเทพีวีนัส หรือเทพีแห่งความรักของกรีกโบราณ คาดว่ามีอายุกว่า 2100 ปี แม้ว่าแขนทั้งสองข้างของรูปปั้นจะขาดไป แต่ก็ยังคงความสวยงาม และความละเอียดอ่อนของงานศิลป์ไว้อย่างครบถ้วน
จากส่วนของปฏิมากรรม จะมาถึงส่วนของภาพเขียนซึ่งนักท่องเที่ยวดูเหมือนจะสนใจในส่วนที่มากที่สุดเพราะมีนักท่องเที่ยวมายืนชมภาพเขียนที่โด่งดังจำนวนมาก


พิพิธภัณฑ์ลูฟร์มีภาพเขียนที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกจำนวนมาก โดยเฉพาะภาพเขียนของเลโอนาร์โด ดาวินซี เช่น The Virgin and Child with St. Anne, Saint Jean Baptiste , Madonna of the Rocks หรือภาพ The last supper ที่โด่งดังขึ้นมามากๆจากภาพยนตร์เรื่อง The Da vinci Code




และแน่นอนภาพเขียนที่อาจจะเรียกว่าโด่งดังที่สุดของโลกคือภาพโมนาลิซ่า ของเลโอนาโดดาวินซีเช่นกัน จะมีนักท่องเที่ยวมายืนชมจนแน่นห้องไปหมด


นอกจากนั้นยังมีภาพเขียนที่โด่งดังอีกจำนวนมากเลย สำหรับคนที่ชื่นชอบศิลปะคุ้มค่ากับการมาชมมากเลยครับ


และเพราะพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ใช้พระราชวังเดิมมาดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ ดังนั้นนอกจากสิ่งของต่างๆที่นำมาจัดแสดงแล้ว ความสวยงามของตัวสถานที่เองก็สวยงามไม่แพ้กัน




เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ต้องมาให้ได้สักครั้งในชีวิตครับ

ด้านนอกของพิพิธภัณฑ์ยังมีตึกและสิ่งก่อสร้างสวยๆให้ถ่ายรูปอีกเยอะด้วยครับ



จากพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ผมก็ไปยังสถานที่สำคัญสุดท้ายในปารีส ซึ่งโชคดีมากที่ผมได้ไปเห็นสิ่งสวยงามนี้ก่อนจะเกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ ถ้าไม่ได้เห็นโบสถ์นี้กับตาคงเสียใจแย่ เพราะผมเฝ้ามารอรอชมมหาวิหารแห่งนี้มาตั้งแต่ได้ชมภาพยนตร์การ์ตูนเรื่อง The Hunchback of Notre Dame สมัยตอนยังเด็ก
มหาวิหารนอเทรอดามแห่งปารีส
(Cathédrale Notre-Dame de Paris)
เป็นอาสนวิหารประจำปารีส คำว่า Notre Dame แปลว่า แม่พระ (Our Lady) ซึ่งเป็นคำที่ชาวคาทอลิกใช้เรียกพระแม่มารีย์ ถูกสร้างขึ้นบนพื้นที่โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ดั้งเดิมที่มีมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 6 ในปี ค.ศ. 1163 มาแล้วเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1345 ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการเกิดขึ้นของสถาปัตยกรรมแบบโกธิคในระยะแรกสุด ต่อมาในปี ค.ศ. 1793 ระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศส โบสถ์ก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ประติมากรรมและศิลปะทางศาสนาถูกทำลายไปมาก อาสนวิหารได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 19 จนมีสภาพเหมือนก่อนหน้าที่ถูกทำลาย โดยมหาวิหารนอเทรอดามแห่งปารีส ถือกันว่าเป็นโบสถ์ที่สวยงามที่สุดในศิลปะกอทิกแบบฝรั่งเศส



ลานหน้ามหาวิหารจะมีหลักกิโลเมตรที่ 0 ของกรุงปารีสที่มีข้อความว่า “Pont Zéro Des Routes de France” ซึ่งหมายความว่าจุดเริ่มต้นของถนนทุกสายจากกรุงปารีสไปเมืองต่างๆ ทั่วประเทศ ได้เริ่มต้นขึ้น ณ จุดนี้ โดยหลายคนมีความเชื่อว่าหากได้เหยียบตรงจุดนี้แล้วก็จะได้กลับมาเยือนปารีสอีกครั้ง

ด้านหน้าของมหาวิหารมีประตูใหญ่อยู่สามประตูแต่ละประตูจะมีภาพสลักสไตล์โกธิกที่สวยงามอยู่ด้านบน ตัวโบสถ์นั้นจะมีสามชั้น ภายในมีการประดับด้วยงานแกะสลักโดยมีรูปปั้นของกษัตริย์ในสมัยพันธสัญญาเดิมวางเรียงกันอยู่



ภายในก็สวยงามไปด้วยการตกแต่งและกระจกหลากสี โดยเฉพาะหน้าต่างกุหลาบ (rose windows) ที่ยิ่งใหญ่สามแห่งที่ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 ที่สวยงามมากๆ



น่าเศร้าที่เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 2562 เพลิงได้ลุกไหม้เผาผลาญมหาวิหารนอเทรอดาม ที่มีอายุ 850 ปีเกือบทั้งหมด โดยมีการคาดว่าอาจต้องใช้เวลาซ่อมแซม 10-15 ปี เป็นอย่างน้อย แถมยังมีแนวคิดว่าอาจจะสร้างเป็นโบสถ์แบบใหม่ ไม่เหมือนเดิมไปเลย สุดท้ายจะสรุปยังไงก็ต้องรอลุ้นกันนะครับ

หลังจากชมมหาวิหารนอเทรอดามแห่งปารีส จบแล้ว ถือเป็นการจบทริปเที่ยว อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ และฝรั่งเศสของผมด้วย
เช้าวันรุ่งขึ้นผมก็เดินทางกลับเมืองไทยแต่เช้าเลย กว่าจะมาถึงเมืองไทยก็ใช้เวลาอีก 12 ชั่วโมง พร้อมมื้ออาหารอีก 2 มื้อ น่าแปลกนะครับเวลานั่งเครื่องขากลับบ้าน กับ นั่งเครื่องขาไปเที่ยว ความรู้สึกนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตอนกลับบ้านนี่เศร้าใจไม่อยากกลับ ไม่รู้สึกตื่นเต้นดีใจเหมือนขามาเลย 55




ทริปนี้ถือว่าเป็นทริปในความทรงจำอีกทริปของผมเลยเพราะผมได้มาเห็นความสวยงามทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ สถาปัยกรรม ศิลปะ รวมทั้งความสวยงามทางธรรมชาติอย่างที่คาดหวังไว้ และขอยืนยันอีกครั้งว่า อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ และฝรั่งเศส เป็นประเทศที่คุณต้องไปเยือนให้ได้สักครั้งจริงๆ ทั้งสวยและครบเครื่องจริงๆครับ










ผมคงต้องจบจดหมายใน series ที่ว่าด้วยการเที่ยวอิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ และฝรั่งเศส ที่เขียนมายาวหลายตอนไว้เท่านี้ จดหมายฉบับหน้า ผมจะพาคุณไปเที่ยวประเทศอะไรอีก รอติดตามอ่านนะครับ
อยากให้คุณไปอยู่ตรงนั้นด้วยกัน
รักและคิดถึง
Mgastronome
Fanpage : M Eat and Travel