ถึง….เธอ
เช้าวันที่ 2 ในอิตาลี ผมตื่นมาด้วยความสดใส หลังจากอาบน้ำแต่งตัวแล้วก็เลยถือโอกาสเดินไปสูดอากาศและชมบรรยากาศรอบๆโรงแรมที่ขึ้นชื่อว่าอยู่ในเมืองตากอากาศของอิตาลี



หลังจากนั้นผมก็ไปทานมื้อเช้าก่อนออกเดินทางกันต่อ ซึ่งอาหารโรงแรมในยุโรปส่วนใหญ่ก็จะเป็นอาหารที่เราเห็นเป็นประจำในโรงแรมของไทย อาทิ ขนมปัง ไข่ แฮม เบคอน แต่ถ้าจะมีความต่างอยู่บ้าง อาหารเช้าในยุโรปจะมีชีสค่อนข้างเยอะ รวมทั้งพวกแยมต่างๆก็นิยมให้เป็นขวดเล็กๆไปเลย ไม่ได้เป็นแบบรวมแล้วให้เราตักไปเท่าที่ต้องการ



อิ่มกันแล้วก็ได้เวลาเดินทางกันต่อ โดยมุ่งหน้าไปทางเหนือเพื่อไปเมืองฟลอเรนส์โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
เรื่องใหม่ที่ได้เรียนรู้อีกเรื่องในระหว่างเดินทางคือในยุโรปจะมีการเก็บค่าผ่านทางเข้าเมืองด้วย
ฟลอเรนซ์ (Florence)
เป็นเมืองในภาคกลางของประเทศอิตาลี เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของแคว้นทอสคานา ฟลอเรนซ์เคยเป็นศูนย์กลางการค้าและการเงินของยุคกลางและถือเป็นหนึ่งในนครที่ร่ำรวยที่สุดในยุคนั้น

ฟลอเรนซ์ถือเป็นจุดกำเนิดของยุคเรเนสซองส์ (Renaissance ) หรือยุคฟื้นฟูวิทยาการ ศิลปะ วัฒนธรรม จนมีสมญานามว่าเป็น “กรุงเอเธนส์แห่งยุคกลาง” และเคยมีฐานะเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรอิตาลีโดยถูกสถาปนาในปี1861 และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกในปีค.ศ. 1982

ที่สำคัญฟลอเรนส์ถือเป็นแหล่งกำเนิดศิลปินชื่อก้องโลกมากมาย อาทิ เกลันเจโล , เลโอนาร์โด ดาร์วินชี แม้กระทั่งอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากรเองก็จบศิลปะมาจากเมืองนี้ มหาวิทยาลัยทางด้านศิลปะที่นี่จึงมีชื่อเสียงระดับโลก
ผมเริ่มต้นจุดแรกด้วยการขึ้นเขาไปยัง Piazzale Michelangelo
Piazzale Michelangelo
เป็นจุดชมวิวของเมือง Florence ที่นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นมาชมบรรยากาศในมุมสูง ทำให้เห็นเมือง Florence เกือบทั้งเมือง โดยจะได้เห็นหลังคาสีแดงของอาคารบ้านเรือนต่างๆ รวมไปถึง Duomo เรียงรายกันเป็นแนวสวยงาม นอกจากนั้นบริเวณนี้ยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามมากๆอีกด้วย



ถ้าใครมา Florence ผมแนะนำให้ขึ้นมาเที่ยวที่นี่ก่อนลงไปเที่ยวในเมืองนะครับ เพราะจะทำให้คุณเห็นเมือง Florence ทั้งเมืองที่สวยมากจริงๆ ที่สำคัญจะได้เห็นภาพรวมของสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแบบทั้งหมด ซึ่งมุมแบบนี้หาดูไม่ได้ด้านล่าง




บริเวณจุดชมวิวริมจตุรัสมิเคลลันเจโลยังมีปฏิมากรรม “เดวิด” ยืนตัวเปล่าเปลือยตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางลาน โดยเป็นการจำลองปฏิมากรรมชื่อดังก้องโลกของมิเคลันเจโล บัวนารอตติ (Michelangelo Buonarroti)ซึ่งของจริงจะอยู่ในพิพิธภัณฑ์ กัลเลเรีย เดล ลัคคาเดเมีย (Galleria dell’Accademia) ด้านล่าง

หลังจากชมวิว ถ่ายรูปกันจนพอใจแล้วพวกผมก็ได้เวลาลงไปสัมผัสกับเมืองฟลอเรนส์อย่างใกล้ชิดโดยต้องใช้วิธีเดินเท้าเข้าเมือง เนื่องจากช่วงที่พวกผมไปถึงนั้นมีการแข่งขันจักรยานของเมือง ทำให้เราต้องจอดรถไว้นอกเมืองแล้วเดินเข้าไปแทน ระยะทางก็พอสมควรเลย แต่ยังไงก็ใจสู้เพราะต้องเข้าไปชมเมืองหลวงแห่งศิลปะวิทยาของโลกให้ได้ครับ

จริงๆแล้วแม้ระยะทางจะไกลสักนิด แต่ผมเดินแบบไม่เบื่อเลยเพราะเมืองนี้มีความสวยงาม และมีปฏิมากรรมต่างๆอยู่ตลอดทางเดินเลย


แถมยังได้เห็นสะพานเวคคิโอ (Ponte Vecchio) จากมุมไกลๆด้วย

พอเริ่มเดินเข้าเมืองก็ต้องหยุดกันเป็นระยะๆ เพราะมีจักรยานที่เข้าแข่งขันขี่ผ่านมา ก็เลยได้ถือโอกาสยืนส่งกำลังใจให้นักแข่งไปด้วย


หลังจากอนุญาตให้เดินต่อแล้ว ผมก็ไปจุดหมายแรกในเมือง
จัตุรัส เปียซซาเดลซิญญอเรีย ( Piazza Della Signoria)
จัตุรัสใจกลางเมืองฟลอเรนซ์ ที่ก่อสร้างมาตั้งเเต่ปี ค.ศ.1302 มีความเก่าเเก่สวยงาม เเละเต็มไปด้วยประติมากรรมชั้นยอดของศิลปินเอกชาวอิตาเลี่ยนมากมายมาตั้งรวมกันอยู่ จนมีคนกล่าวว่า ณ ลานแห่งนี้เปรียบเสมือนเเกลลอรี่หรือพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะกลางเเจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก

นอกจากคุณค่าทางศิลปะแล้ว ลานแห่งนี้เคยถูกใช้เป็นสถานที่แสดงออกทางการเมือง แหล่งชุมนุม ลานประหาร งานรื่นเริง งานเทศการ เรียกว่าผ่านเรื่องราวของฟลอเรนซ์มานับไม่ถ้วนทั้งสุขและทุกข์

ประติมากรรมที่มีชื่อเสียงที่เรียงรายอยู่ ณ ลานแห่งนี้ก็มีทั้งรูปปั้นแกะสลัก เดวิดจำลอง ผลงานของศิลปินดัง มิเกลันเจโล ที่แสดงให้เห็นถึงความงามของสรีระของมนุษย์ที่ทุกมัดกล้ามเนื้อปั้นได้เหมือนคนจริงๆอย่างมาก
รูปปั้น David ยังแหวกขนบศิลปะยุคโบราณที่ไม่นิยมเปิดเผยเนื้อหนังมังสาให้สาธารณชนเห็น แต่รูปปั้นชายร่างกำยำคนนี้ได้ตีแผ่ทุกสัดส่วนของความเป็นชายและความเป็นมนุษย์ออกมาให้เห็นกันแบบไม่ต้องอายกันเลยทีเดียว จึงเรียกเสียงฮือฮาอย่างมากในยุคนั้น

สังเกตุว่ารูปปั้นทั้ง david และหลายๆผลงานบริเวณนี้ อวัยวะเพศชายจะถูกเปิดเผยแบบไม่ปิดบังอะไรเลย ในขณะที่ถ้าคุณเห็นรูปปั้นเพศชายในวาติกัน อวัยวะเพศชายจะถูกใบมะเดื่อปิดไว้ทั้งหมด เพราะมองว่าการเปิดเผยอวัยวะเพศนั้นเป็นเรื่องน่าอายและอุจาด จึงมีการแกะสลักใบมะเดื่อมาปิดบังไว้ทั้งหมด
แต่สำหรับ Florence ซึ่งเป็นเมืองแห่งต้นกำเนิดการฟื้นฟูศิลปะวิทยาที่ถูกครอบงำมานานโดยคริสตจักร จึงไม่มีการปิดอะไรเลยเพราะสามารถมองเป็นศิลปะได้หมด

ประติมากรรมของจริงนั้นได้ถูกย้ายไปที่แกลเลอรีอัคคาเดเมีย ตั้งเเต่ปี ค.ศ.1873 ซึ่งต้องซื้อบัตรเข้าไปชม
ส่วนรูปปั้นฝั่งขวาที่อยู่ด้นหน้า Palazzo Vecchio ซึ่งเป็นศาลากลางของเมืองฟลอเรนซ์เคียงคู่กับรูปปั้น David คือผลงานของ Baccio Bandinelli ที่ชื่อ Hercules and Cacus ถูกปั้นในปี 1525 แล้วเสร็จในปี1534

อีกประติมากรรมที่ใครมาก็ต้องไปยืนดูด้วยความชื่นชมคือ รูปปั้นสำริดของเพอร์ซีอุส ผลงานของประติมากรชื่อดังอย่าง เซลลินี (Benvenuto Cellini) ซึ่งเป็นรูปปั้นที่เพอร์ซีอุสกำลังถือหัวของเมดูซา รูปปั้นนี้เก็บรายละเอียดทุกมุม ทุกสัดส่วนออกมาได้อย่างมีมิติมากๆ เรียกว่ายังกะยืนดูเทพเจ้าที่มีชีวิตจริงๆ

นอกจากนี้เเล้วก็ยังมีประติมากรรมสิงโตหินอ่อนคู่ของตระกูลเมดิชีซึ่งเป็นตระกูลที่ทั้งรวยและมีอำนาจอย่างมากในฟลอเรนซ์ รวมไปถึงศาสนจักรด้วย เพราะมีสมาชิกจากตระกูลนี้ถึง 3 คนได้เป็นพระสันตะปาปา ได้แก่สมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 10, สมเด็จพระสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 7, และ สมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 11 (ไม่ธรรมดาเลย)
อีกทั้งตระกูลเมดิชีนี้แหละที่เป็นผู้สนับสนุนศิลปินและวงการศิลปะ วิทยาการต่างๆ จนโลกได้เข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาหรือ เรเนสซองส์ (Renaissance )

บริเวณใจกลางของจัตุรัสนั้นจะมี น้ำพุเนปจูน คนท้องถิ่นเรียกว่า “Il Gigante” ซึ่งหมายความว่ายักษ์ สร้างขึ้นในปี 1559 ได้รับการออกแบบโดย Baccio Bandinelli แต่สร้างโดย Bartolomeo Ammannati โดยได้รับความช่วยเหลือจากศิลปินอื่น ๆ อีกหลายคนระหว่างปี 1560 ถึง 1574


จัตุรัส เปียซซาเดลซิญญอเรีย ยังมีรูปปั้นอื่นๆแบบให้เดินดูกันเพลินจนลืมเวลาจริงๆ

ส่วนรูปปั้นที่ผมค่อนข้างทึ่งและอาจจะเรียกว่าจริงๆแล้วเป็นรูปปั้นที่ผมชอบมากที่สุดเพราะไปยืนดูอยู่นานมาก นั่นคือรูปปั้นที่ชื่อว่า Rape of the Sabine women ที่ถูกปั้นโดย Giambologna เป็นรูปปั้นเปลือยของสองหนุ่ม กับหนึ่งหญิงสาว โดยชายที่อยู่ตรงกลางกำลังจะพรากผู้หญิงคนหนึ่งไปจากชายสูงอายุที่สิ้นหวังที่อยู่ข้างล่าง

รูปปั้นนี้มาจากตำนานของโรมที่กล่าวว่าชาวโรมันรุ่นแรกไปลักพาตัวภรรยามาจากเมืองซาบีน (Rape ในคำโบราณมากจาก Rapio ที่หมายถึง “การลักพา” ไม่ใช่การข่มขืนในความหมายปัจจุบัน) เนื่องจากในอดีตกรุงโรมผู้หญิงค่อนข้างน้อยจึงต้องไปลักพาสาวๆจากเมืองใกล้เคียงมาเป็นภรรยา
นอกจากรูปปั้นแล้วยังมีศิลปินเปิดหมวก มายืนเนียนเป็นรูปปั้นด้วย ซึ่งผมก็อดทึ่งในความคิดสร้างสรรค์ของคนกลุ่มนี้ไม่ได้ จึงช่วยเหลือให้เงินเล็กๆน้อยๆ ( คิวปิดที่อยู่ไกลออกไปในรูปก็เป็นคนจริงๆ นะครับ ตอนแรกผมเกือบไม่สังเกตุเหมือนกัน นึกว่ารูปปั้น 555)

บริเวณลานแห่งนี้จะเห็นอาคารที่มี tower สูง เป็นอีกสัญลักษณ์สำคัญของ Florence
พระราชวังฟลอเรนซ์ (Palazzo Vecchio)
สร้างขึ้นระหว่างปีค. ศ. 1298 ถึง 1314 เป็นอาคารรัฐบาลที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่สุดในฟลอเรนซ์เคยเป็นที่ตั้งของ Signoria แห่งสาธารณรัฐฟลอเรนซ์ในศตวรรษที่ 14 และเป็นศูนย์กลางรัฐบาลของตระกูล Medici รวมทั้งเป็นที่ตั้งของหอการค้าแห่งราชอาณาจักรอิตาลีและตั้งแต่ปีพ. ศ. 2415 ปัจจุบันเป็นศาลากลางของเมืองฟลอเรนซ์


หลังจากที่ใช้เวลาบริเวณนี้กันพอสมควรแล้ว ผมก็เดินไปอีก highlight สำคัญของฟลอเรนซ์ซึ่งตั้งอยู่ห่างไปแค่ 400 เมตร แต่ไปถึงก็โดนกั้นทางอีกครั้งเพราะนักปั่นกำลังจะผ่านมา

มหาวิหารแห่งฟลอเรนซ์ (Duomo di Firenze)
อาสนวิหารฟลอเรนซ์ เป็นอาสนวิหารในฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี เริ่มก่อสร้างครั้งแรกในปี 1296 ด้วยสถาปัตยกรรมแบบกอธิกโดยการออกแบบของFilippo Brunelleschi และสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 1436 ใช้เวลาสร้างถึง 140 ปี เป็นมหาวิหารที่งดงามที่สุดในอิตาลี และใหญ่เป็นอันดับ 2 ในอิตาลีรองลงมาจากมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ที่รัฐวาติกัน


มหาวิหารแห่งฟลอเรนซ์ เป็นอาคารที่มีจุดเด่นตรงโดมสีส้มขนาดใหญ่ ยอดโดมเป็นศิลปะแบบโรมันที่เปลี่ยนจากทรงกลมเป็นหกเหลี่ยม ข้างในโปร่งไม่มีเสาหรือโครงค้ำยันเลยซึ่งถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ในสมัยนั้น โครงสร้างภายนอกอาคารเป็นหินอ่อนสีขาว แต่งด้วยหินสีเขียวและชมพูที่ได้รับการตกแต่งด้วยหินแกะสลักที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบบาโรคลายดอกพลับพลึงหรือดอกลิลลี่ที่ต่อมากลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองฟลอเรนซ์



นอกจากโดมแล้ว มหาวิหารแห่งนี้ยังมีหอระฆังคัมปานีเล่ที่สูงถึง 85 เมตรซึ่งเป็นหอระฆังที่สวยที่สุดในอิตาลี โดยคุณสามารถขึ้นบันได 414 ขั้นทางหอระฆังไปชมยอดโดมอย่างใกล้ชิด หรือถ้าคุณอยากชมวิวเมืองฟลอเรนซ์โดยต้องเดินขึ้นบันได 463 ขั้นไปยอดโดม


ภายในมหาวิหารนั้นมีหน้าต่างงานกระจกสีที่ได้รับการออกแบบโดยศิลปินที่มีชื่อเสียงหลายท่านทั้ง ลอเรนโซ กีแบร์ติ และโดนาเทลโล มหาวิหารมีหน้าต่างกระจกสีทั้งหมด 44 บาน เป็นเรื่องราวในพระคัมภีร์พันธะสัญญาเก่าและใหม่

กลางโดมเป็นภาพเขียนสี Fresco ของเปาโล อุซเซลโล ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก นอกจากนั้นยังมีส่วนของห้องใต้ดินที่เรียกว่า The Crypt ซึ่งเป็นโบสถ์เก่าSanta Reparata ที่ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1965 เป็นที่ฝังศพของบุคคลสำคัญและมีชื่อเสียงมากมาย



ตรงกันข้ามกับมหาวิหารฟลอเรนซ์ยังมีอาคารทรงแปดเหลี่ยมที่สำคัญอีกแห่ง
หอศีลจุ่มนักบุญเซนต์จอห์น (Baptistery of St. John)
อาคารทรงแปดเหลี่ยมสร้างด้วยหินอ่อนลายสีเขียว ขาว และชมพูกุหลาบ แบบมหาวิหาร สร้างระหว่างปี ค.ศ. 1059 ถึงปี ค.ศ. 1128 เป็นหนึ่งในโบราณสถานที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองฟลอเรนซ์ มีประตูสำริด 3 ประตู โดยเฉพาะประตูด้านทิศตะวันออกเป็นประตูที่สวยงามจนได้รับยกย่องจากประติมากรเอกของโลกอย่างมิเคลันเจโลให้เป็นประตูสวรรค์ หรือ Gates of Paradise นอกจากนี้ภายในโดมยังมีภาพโมเสกขนาดใหญ่รูปพระเยซูประทานพรที่สวยงามระดับโลกอีกด้วย


จากมหาวิหารแห่งฟลอเรนซ์ผมก็เดินต่อเพื่อไปสะพาน Vaccio โดยจะเดินผ่าน Piazza della Repubblica หนึ่งในจัตุรัสหลักของเมืองฟลอเรนซ์และเป็นจุดศูนย์กลางของเมืองตั้งแต่ในสมัยโรมันโดยมีอายุยาวนานถึง 1,431 ปี ปัจจุบันที่นี่ก็ยังเป็นศูนย์กลางของเมือง คราคร่ำไปด้วยผู้คนและนักท่องเที่ยว โดยพื้นที่รอบๆ ก็เต็มไปด้วยแหล่ง shopping เพราะเป็นที่ตั้งของตลาดและร้านค้ามากมาย

Piazza della Repubblica

ตลาดที่สำคัญคือ ตลาดเมอร์คาโต นูโอโว (Mercato Nuovo) ซึ่งเป็นตลาดเครื่องหนังและของที่ระลึกที่ใหญ่มากๆของเมืองฟลอเรนซ์ โดยไฮไลท์ของตลาดแห่งนี้คือรูปปั้นหมูป่าแห่งฟิเรนเซ่ (Il Porcelino) ที่ตั้งอยู่ใจกลางตลาด

หมูป่าแห่งฟิเรนเซ่ ดั้งเดิมตัวจริงนั้นสร้างตั้งแต่ปี 1634 ปัจจุบันไปย้ายไปจัดเก็บที่พิพิธภัณฑแล้ว ส่วนตัวที่อยู่ในตลาดถูกสร้างมาตั้งแทนตัวจริง ลักษณะเด่นของเจ้าหมูป่านี้ คือตรงจมูกจะมีความเงามันวาว เพราะทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวนิยมมาลูบที่จมูกหมูเพราะเชื่อว่าจะโชคดี และจะได้กลับมาที่ฟลอเรนซ์อีกครั้ง
จากนั้นผมก็เดินต่อไปจุดสุดท้ายในเมือง Florence นั่นคือสะพานที่ดังที่สุดของเมือง
สะพานเวคคิโอ Ponte Vecchio
เป็นสะพานเก่าแก่ที่สร้างข้ามแม่น้ำอาร์โนในฟลอเรนซ์ สร้างขึ้นในค.ศ.996 เเต่สภาพของสะพานในปัจจุบันนั้นถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในปี ค.ศ.1345 เพื่อเป็นทางเดินเชื่อมต่อกับ Uffizi และ พระราชวัง Pitti ของแกรนด์ดยุคคอร์ซิโมที่ 1 เพราะไม่ต้องการใช้สะพานร่วมกับคนอื่น



โครงสร้างของสะพานมีความสวยงามเเละมีหลังคาคลุมทั้งตัวสะพาน มีหน้าต่างทรงสี่เหลี่ยมศิลปะเเบบฟลอเรนซ์ ตามจุดต่างๆ ของสะพาน ตรงกลางสะพานจะมีรูปปั้นครึ่งตัวของศิลปินที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาที่สุดคนหนึ่งของฟลอเรนซ์ที่ชื่อ Benvenuto Cellini ( คนที่สร้างรูปปั้นสำริดของเพอร์ซีอุส)

ปัจจุบันสะพานแห่งนี้กลายเป็นที่ตั้งร้านค้าของที่ระลึกและเครื่องประดับมากมายให้เลือก shopping




ผมใช้เวลาเดินในสถานที่น่าสนใจกลางเมือง Florence เกือบครึ่งวัน และเดินวนเป็นวงกลมในระยะที่ไม่ไกลกันเลย ซึ่งผมได้ปิดท้ายด้วยการไปทานมื้อเที่ยงกันที่ร้าน Osteria dei Baroncelli

ร้าน Osteria dei Baroncelli เป็นร้านที่อยู่ในอาคารซึ่งเคยเป็นบ้านของตระกูลเก่าแก่ในFlorence ตัวอาคารมีอายุมากกว่า 600 ปี เน้นเสริฟอาหารดั้งเดิมของทัสคานีและอาหารอิตาเลี่ยน

สิ่งที่ประทับใจผมมากที่สุดคือการตกแต่งในร้านที่ออกแนวพิพิธภัณฑ์ การให้แสง การจัดวางสถานที่ รวมทั้งภาพวาดต่างๆทำให้เหมือนทานอยู่ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะเลย






ส่วนอาหารถ้าจะบอกตามตรงก็ไม่ได้ประทับใจผมมากมายเพราะเป็นอาหารพื้นถิ่นเช่น ซุป สเต๊ก และของหวานเป็นไอศครีม ซึ่งก็อร่อยนะครับแค่ไม่ได้พิเศษไปกว่าร้านอื่นๆ ที่เคยทาน





จริงๆแล้ว ฟลอเรนซ์ยังมียังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งที่น่าสนใจมากๆซึ่งผมไม่มีเวลาไป ดังนั้นถ้ามีโอกาสผมก็ไม่อยากให้คุณพลาดสถานที่นี้นั่นคือ….
แกลเลอรี่ Uffizi เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในฟลอเรนซ์และเป็นหนึ่งในหอศิลป์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เป็นสถานที่จัดการภาพวาดของศิลปวิทยายุคเรเนสซอง จัดเก็บภาพวาดและผลงานของจิตรกรที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุคนั้นรวมทั้ง ไมเคิลแองเจลโล, ดาวินชี, บอตติเซลลี่ และแรมแบรนดท์ ในคอลเลคชันที่ครอบคลุมระยะเวลาถึงหกศตวรรษ โดยเฉพาะภาพ Birth of Venus ของบอตติเชลลี

หลังจากทานอาหารเสร็จเลยมาถึงช่วงบ่าย พวกผมก็รีบเดินกลับไปยังจุดจอดรถก็ได้เดินอำลาเมืองที่สวยงามเหมือนพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ถ้าคุณมีเวลาผมอยากแนะนำให้มาค้างที่นี่สักคืนโดยเฉพาะถ้าคุณเป็นคนที่หลงใหลในงานศิลปะ


ส่วนผมซึ่งมีเวลาแค่นี้ก็ต้องรีบเดินทางไปดู Highlight สุดท้ายของวันนี้และเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของทริปนี้ที่ผมอยากไปเห็นกับตา นั่นคือ “หอเอนแห่งเมืองปิซา”
ปิซา (Pisa)
เป็นเมืองเอกของจังหวัดปิซา อยู่ในแคว้นทอสคานา อยู่ทางตะวันตกของเมืองฟลอเรนซ์ประมาณ 100 กิโลเมตร มี highlight สำคัญที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องไป
จาก Florence นั่งรถไป PISA ใช้เวลาไม่นาน ประมาณชั่วโมงกว่าๆ เมื่อไปถึงแล้วรถบัสก็ไปจอดยังลานจอดรถซึ่งจะมีรถรางให้บริการไปส่งตรงทางเข้าของจตุรัสดูโอโมแห่งปิซา โดยระหว่างทางจะมีร้านรวงขายของที่ระลึกต่างๆริมกำแพงไปตลอดทาง


ผมต้องสารภาพว่าก่อนจะมานั้น ในหัวผมนั้นมีแต่หอเอนแห่งปิซา ไม่ทราบว่าก่อนว่ามีสิ่งก่อสร้างอื่นๆอยู่ในบริเวณเดียวกัน ดังนั้นเมื่อมาถึงผมจึงค่อนข้างตกตะลึงที่เห็นความใหญ่โตของอาคารมหาวิหารต่างๆซึ่งเมื่อมารวมกันกลายเป็นกลุ่มศาสนสถานที่มีความยิ่งใหญ่อลังการมากๆ โดยบริเวณทั้งหมดนี้จะเรียกรวมๆกันว่า….
จตุรัสดูโอโมแห่งปิซา (Piazza del Duomo)
เป็นลานหน้าอาสนวิหารปิซา ประกอบไปด้วยสิ่งก่อสร้างหลัก 4 อย่าง ได้แก่ อาสนวิหารปิซา (Duomo) หอเอนปิซา (Torre) หอศีลจุ่ม (Baptistery) และสุสาน (Camposanto) ความยิ่งใหญ่สวยงามและคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของที่นี่ทำให้ในปี ค.ศ. 1987 จัตุรัสแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเทียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกด้วย

โดยเมื่อเดินเข้ามาแล้วจะเจอสนามหญ้าใหญ่และเห็นหมู่อาคารศาสนสถานที่ยิ่งใหญ่มากๆ โดยเริ่มจาก
หอศีลจุ่ม หรือ หอล้างบาป (Baptistery)
หอศีลจุ่มปิซ่าเป็นอาคารทรงกลมที่สร้างเป็นอิสระจากอาคารอื่นโดยมีอ่างศีลจุ่มเป็นศูนย์กลาง ปกติหอศีลจุ่มจะเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิหาร เป็นสถานที่สำหรับผู้จะเข้ารีตได้เรียนรู้เรื่องศาสนาก่อนจะรับศีลจุ่ม และ เป็นที่ทำพิธีรับศีลจุ่ม

อาสนวิหารปิซา (Duomo di Pisa)
เป็นจุดศูนย์กลางของเมืองปิซาในยุคกลาง นับว่าเป็นอาคารสิ่งก่อสร้างในเบบโรมาเนสก์แบบปิซาที่โดดเด่น ถูกสร้างขึ้นมาในปี ค.ศ. 1093 โดยการออกเเบบเเละควบคุมการก่อสร้างของ Buscheto ซึ่งเขาได้รับเกียรติให้ฝังร่างเอาไว้ที่ซุ้มโค้งหนึ่งของประตูวิหาร

อาสนวิหารปิซาเป็นจุดเริ่มต้นของสถาปัตยกรรมโรมาเนสก์แบบปิซา ที่ได้แพร่หลายไปทั่วแคว้นทัสคานีเเละยาวนานมาอีก 1,000 ปี โดยทางเข้านั้นจะเป็นประตูทองสัมฤทธิ์ที่เรียกว่า Door of San Ranieri ซึ่งจะนำคุณเข้าไปสู่ธรรมาสน์ที่งดงามมากที่สุดในอิตาลีที่ออกเเบบเเละสร้างโดยประติมากรเอกที่มีชื่อว่าGiovanni Pisano

เนื่องจากวันนั้นแถวเข้าชมด้านในค่อนข้างยาวมากๆ ผมกลัวจะไม่ทันที่จะได้ไปดูหอเอนปิซาจึงตัดสินใจไม่เข้าไปด้านใน แต่ถ้าคุณมีโอกาสอยากให้เข้าไปชมความงามด้านในด้วย เพราะภายในมีงานศิลป์ที่น่าสนใจมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือ ไม้กางเขนที่มีหุ่นพระเยซูตรึงอยู่ด้วย รวมทั้งงานโมเสกที่ความสวยงามเเละยิ่งใหญ่อย่างมาก

มาถึงจุดสุดท้ายที่ทำให้ทุกคนดั้นด้นมาถึงเมืองนี้ นั่นคือ…
หอเอนเมืองปิซา (Leaning Tower of Pisa)
เป็นหอระฆังของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก มีลักษณะเป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 55.86 เมตร มีบันไดรวมทั้งสิ้น 293 ขั้น ตัวอาคารจะเอียง 3.97 องศา

เริ่มสร้างเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1173 และสร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1372ใช้เวลาสร้างประมาณ 175 ปี แต่การก่อสร้างนั้นมีการหยุดชะงักถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อสร้างไปได้ถึงชั้น 3 เนื่องจากพื้นดินนิ่มทำให้หอมีการยุบตัว ต่อมาในปี ค.ศ. 1272 จีโอแวนนี่ ดี สิโมน สร้างให้เอนกลับไปอีกด้านหนึ่งเพื่อให้เกิดความสมดุล แต่ก็ต้องหยุดอีกเนื่องจากเกิดสงคราม ภายหลังได้มีการสร้างต่อทำให้หอมีความสูงทั้งหมด 7 ชั้น

หลังจากนั้น ในปี ค.ศ. 1990-2001 หอเอนปีซาได้รับการปรับปรุงฐานให้แข็งแรงยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้หอล้มลงมา และปัจจุบัน ในทุก ๆ 20 ปี หอจะเอนลง 1 นิ้ว โดยมีการคาดเดาว่า หอจะล้มลงมาในปี ค.ศ. 2220 ถ้าหากไม่มีการป้องกันใด ๆ

ผมต้องยอมรับว่าจากที่เห็นในภาพกผ้คิดว่าสวยแล้ว แต่ของจริงนั้นทั้งสวยและดูยิ่งใหญ่กว่ามาก ไม่ใช่แค่ความแปลกที่หอมันเอียงอยู่เหมือนจะล้มทลายลงมา แต่ผมคิดว่าด้วยการตกแต่ง รูปทรงต่างๆของหอเองก็สวยงามจนทำให้ของจริงนั้นตื่นตะลึงกว่าที่คิดไว้มาก

ยิ่งเมื่อมารวมกับอาคารศาสนสถานอื่นๆ ทำให้กลุ่มอาคารเหล่านี้มีความยิ่งใหญ่ สวยงาม อลังการจนผมต้องแนะนำจริงๆว่าถ้ามีโอกาสอยากให้คุณมาเห็นด้วยตาตัวเองให้ได้

หอเอนปิซามีค่าตั๋วเข้าชม 18 ยูโร เปิดให้บริการทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์ โดยจะเปิดให้เข้าชมในเวลา 10.00 น. ไปจนถึงเวลา 18.00 น.
หลังจากอิ่มเอมกับศิลปะ สถาปัตยกรรมที่สวยงามมาทั้งวันแล้ว ผมก็นั่งรถกลับไปเมือง Florence เพื่อไปอิ่มกับมื้อเย็นกันที่ร้าน Ristorante la nuova città imperial ซึ่งเป็นร้านอาหารจีนชื่อดังของเมือง


อาหารของร้านนี้ค่อนข้างอร่อยเลยครับ ได้ทานปู ทานปลาตัวใหญ่ๆ อาหารรสชาติดี หายเหนื่อยไปเยอะเลย




อิ่มกันแล้วก็ได้เวลาไปเข้าพักในโรงแรม ซึ่งคืนนี้เราจะนอนกันที่โรงแรม Nilhotel Hotel ที่ Florence นี่ล่ะครับ ซึ่งตอนที่ไปถึงโรงแรมผมแอบแปลกใจเพราะเป็นโรงแรมที่ปิดประตูรั้วไว้อย่างมิดชิด มีประตูเปิดปิด เรียกว่าจะเดินดุ่มๆเดินเข้าไปเฉยๆไม่ได้เลย ยังกะโรงเรียน หรือโรงงาน 555


สาเหตุส่วนหนึ่งที่ผมยังไม่ได้เขียนถึงเลยคือการเที่ยวในยุโรปนั้น ต้องมีสติอยู่กับตัวตลอดเวลาเพราะขโมยเยอะมาก อาจไม่ใช้่แนวฉกชิงวิ่งราว แต่เป็นการแอบหยิบ แอบขโมยโดยที่คุณไม่รู้ตัว อาศัยเวลาเราเผลอซึ่งโดนมานักต่อนัก ซึ่งจุดที่พวกนี้จะออกทำงานนอกจากสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าโรงแรมคืออีกจุดที่มีการเข้ามาขโมยของนักท่องเที่ยวด้วยอย่างไม่น่าเชื่อ
มาตรการของหลายโรงแรมจึงต้องการกันคนนอกเข้ามาในโรงแรม แต่ไม่ใช่ว่า…จะปลอดภัยนะครับ เพราะมีข่าวว่าพวกนี้อัพเกรดมาเป็นแขกพักในโรงแรมเลย เดี๋ยวผมจะเขียนมาเล่าเรื่องนี้อีกครั้ง
เอาเป็นว่าโรงแรมที่ผมพักคืนนี้ก็มีความปลอดภัยแน่นหนาดี ส่วน Facility ต่างๆในโรงแรมก็ได้มาตรฐานปกติของโรงแรมทั่วไปครับ




ตอนนี้ผมก็เขียนเล่ามาจนจบวันที่สองในการท่องเที่ยว อิตาลี สวิสเซอร์แลนด์ และ ฝรั่งเศสแล้วซึ่งเป็นทริปที่ผมไม่ผิดหวังเลยเพราะได้เที่ยวไปในสถานที่ไฮไลท์สำคัญๆในยุโรปซึ่งมีทั้งความสวยงามและความยิ่งใหญ่มากๆ
ตอนต่อไปผมจะนำคุณไปเที่ยวเมืองในฝันของนักท่องเที่ยว ที่ผมเชื่อว่าคุณเองก็อาจเป็นคนหนึ่งที่ฝันว่าจะต้องไปเยือนเมืองนี้ได้สักครั้งในชีวิต นั่นคือเมืองเวนิส แล้วรออ่านนะครับ


อยากให้คุณไปอยู่ตรงนั้นด้วยกัน
รักและคิดถึง
Mgastronome
Fanpage : M Eat and Travel