Review เที่ยวไทยไประหว่าง Covid กับประสบการณ์ท่องเที่ยว  “ภูเก็ต Sandbox” 

ถึง…เธอ

เมื่อเร็วๆนี้ ผมได้มีโอกาสเดินทางไปท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต โดยเป็นช่วงที่ยังมีการระบาดของ covid-19 ในประเทศไทย แต่จังหวัดภูเก็ตได้มีการยกเว้นให้มีการเดินทางท่องเที่ยวได้ทั้งนักท่องเที่ยวไทยและนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศประเทศภายใต้โครงการ “ภูเก็ต Sandbox” ที่ค่อนข้างที่กฎระเบียบยุ่งยากในการเข้าเมือง และการตรวจตราที่แน่นหนา ผมจึงถือโอกาสนี้ไปสัมผัสประการณ์ท่องเที่ยวแบบ Sandbox สักครั้งว่าเขาทำกันอย่างไร

วิวสวยๆจากมุมสูงของภูเก็ต

จริงๆแล้วผมวางแผนเที่ยวภูเก็ตไว้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2564  มีการจองเที่ยวบิน และโรงแรมผ่านโครงการเราเที่ยวด้วยกัน รวมทั้งทริปล่องเรือและดำน้ำต่างๆนานา แต่แล้วในช่วงที่ผมกำลังจะเดินก็เกิดการระบาดขึ้นจนทำให้พวกผมต้องตัดสินใจเลื่อนทริป

ช่วงแรกของการเลื่อนทริปค่อนข้างโกลาหล โดยเฉพาะเรื่องโรงแรมเนื่องจากเป็นการจองผ่านโครงการเราเที่ยวด้วยกันและยกเลิกไม่ได้ แต่เนื่องจากผมจองผ่าน agoda จึงตัดสินใจโทรไปหา Agoda ที่สิงคโปร์ จนเจ้าหน้าที่ดำเนินการต่อรองให้จนโรงแรมยอมให้เลื่อน 

หลังจากเลื่อนครั้งแรกในเดือนมกราคม ไม่น่าเชื่อว่าทุกครั้งที่ผมกำลังจะเดินทางจะต้องมีการระบาดใหญ่เกิดขึ้นทุกครั้ง โดยเฉพาะตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา กรุงเทพมหานคร กลายเป็นพื้นที่สีแดงซึ่งกินเวลายาวนานกว่าที่ผมคาดจนทำให้ผมต้องเลื่อนทริปถึงอีก 3 ครั้ง

โชคดีที่ทางโรงแรมยังยอมให้ผมเลื่อนมาได้เรื่อยๆ (เพราะตั้งแต่เลื่อนครั้งแรก ผมยอมจ่ายราคาเต็ม ไม่ได้เข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกันแล้ว) จนกระทั่งครั้งหลังสุดคือการเดินทางในเดือนกันยายน สถานการณ์ในกรุงเทพดีขึ้นมาก ส่วนทางภูเก็ตนั้นแม้จะเปิดรับนักท่องเที่ยวแล้วก็ยังทรงๆ ผมจึงตัดสินใจเดินทางแบบไม่ยอมเลื่อนอีกแล้ว

แต่อะไรๆ มันก็ไม่ง่ายขนาดนั้นเนื่องจาก เที่ยวบินทั้งขาไป ขากลับ ของผมโดนยกเลิก แถมช่วงกันยายนที่ผมไปนั้นเกาะต่างๆก็ปิด ดังนั้นทริปเรือ ทริปดำน้ำ จึงยังคงต้องเลื่อนไปก่อน

เนื่องจากตั้งใจแล้วว่าจะไป จะไม่เลื่อนอีกแล้ว ผมจึงต้องเปลี่ยนจากการเดินทางโดยเครื่องบิน มาเป็นเช่ารถขับกันไปแทน จากกรุงเทพ ลงไปถึงภูเก็ต

ที่เล่ามายืนยาวขนาดนี้เพราะอยากให้คุณเห็นภาพว่ากว่าผมจะได้ไปสัมผัสประสบการณ์ ภูเก็ต sandbox ในครั้งนี้มันไม่ง่ายเลย

ตัดภาพมาที่วันเดินทางกันเลยครับ  พวกผมออกเดินทางจากกรุงเทพกันในช่วงบ่าย เนื่องจากเราขยับวันออกเดินทางมาเร็วขึ้น 1วันเพราะตั้งใจไปนอนพักระหว่างทางกันที่ชุมพรก่อน ไม่อยากขับยาวรวดเดียว จึงต้องเคลียงานกันให้เรียบร้อย

พวกผมไปเริ่มรับรถกันที่ บริษัท Sixt ที่สาขาพระราม 4 โดยจริงๆ ผมได้จองรถเช่าของบริษัทนี้ไว้อยู่แล้ว ตั้งใจจะใช้ขับในภูเก็ต เมื่อทางผมเปลี่ยนแผนจึงเปลี่ยนมารับรถที่กรุงเทพแทน

และเนื่องจากต้องขับรถทางไกล จากเดิมที่ผมจองรถแค่ระดับ Vios ไว้จึงต้องขยับขึ้นมาเป็นรุ่น Fortuner แทน จะได้นั่งกันสบายๆ และปลอดภัยขึ้น

วันที่ผมเดินทาง รถขาออกจากกรุงเทพค่อนข้างติดตั้งแต่พระราม 2 ยาวไปเลย และมีฝนตกหนักตลอดทาง ซึ่งทำให้พวกผมทำใจไว้แล้วว่าถึงภูเก็ตคงเจอฝนแน่ๆ เพราะเดือนกันยายนเป็นช่วงมรสุมไม่เหมาะกับการไปเที่ยวภูเก็ตเท่าไหร่

พวกผมไปถึงชุมพรเอาดึกมากๆ แล้ว แต่มีร้านอาหารร้านหนึ่งที่ผมเคยไปทานมาแล้วติดใจมากๆจนตั้งใจว่าจะขับผ่านไปเฉยๆไม่ได้ ต้องมาทานร้านนี้ให้ได้ พวกผมจึงไปแวะร้านนี้กันก่อนเข้าโรงแรม

ผมติดใจทั้งรสชาติที่อร่อย และความสดใหม่ของปลาและอาหารทะเลต่างๆ โดยเฉพาะกากหมูทอดที่ถือเป็น Signature  ในหลายเมนูของร้านนี้ ตั้งแต่มาทานครั้งแรก นับจากนั้นทุกครั้งที่มีโอกาสไปชุมพรหรือขับรถผ่านไม่ว่าจะลงไปทางใต้ หรือขึ้นกลับมากรุงเทพ ผมจะต้องแวะทานอาหารที่ร้านนี้ทุกครั้ง

ร้านที่ผมกำลังเขียนถึงคือร้านข้าวต้มฝาแฝด ร้านอาหารแสนอร่อยของชุมพร ที่ซ่อนตัวอยู่ในปั้มน้ำมัน ปตท ห่างๆจากแยกปฐมพรไม่ถึง 2 กิโล ซึ่งผมเขียนรีวิวไว้อย่างละเอียดแล้วที่ รีวิวร้านลับไม่ควรขับผ่านไปเฉยๆ ในชุมพร…ร้านข้าวต้มปลาฝาแฝด

ตอนพวกผมไปถึงเรียกว่าทางร้านกำลังจะปิดแล้ว ทางคุณป้าเจ้าของร้านคงเห็นใจว่าพวกผมตั้งใจมาทานกันจริงๆ แม้จะดึกแล้ว เลยให้แม่ครัวทำเมนูข้าวต้มซึ่งเป็นเมนูเด็ดของร้านให้ทาน  ส่วนเมนูอื่นๆ ทางเจ้าของร้านบอกปิดครัวไปแล้วจริงๆ ซึ่งพวกผมก็เสียดายมาก (แต่สุดท้ายพวกผมก็กลับมาทานร้านนี้อีกครั้งตอนขากลับกรุงเทพ)

พวกผมทานข้ามต้มปลา ที่เป็นหนึ่งในเมนู Signature ของร้านนี้กันอย่างเอร็ดอร่อย ทีเด็ดของข้าวต้มปลาที่นี่นอกจากจะใช้ปลาอินทรีย์สดใหม่ ชิ้นใหญ่มากแล้ว ยังมีกากหมูมาทานคู่กัน กลายเป็นรสชาติที่อร่อยและเป็นเอกลักษณ์มากๆของร้านนี้ รวมทั้งน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวของร้านนี้ก็เรียกว่าทั้งเด็ด ทั้งแซบมากจริงๆ

ข้าวต้มปลาอินทรีย์ เมนูเด็ดที่พลาดไม่ได้เลย
ของเด็ดจริงๆคือกากหมู และน้ำจิ้ม อร่อยเหาะจริงๆ

พอพวกผมทานกันเสร็จ และเดินออกมา ทางร้านก็ปิดร้านเลยจริงๆ ต้องขอบคุณทางร้านมากๆที่ยังต้อนรับให้พวกเราไปทานกันทั้งๆที่ควรปิดร้านไปแล้ว

อิ่มอร่อยกันแล้ว พวกผมก็ขับรถกลับเข้าเมืองชุมพร ไป check in พักที่โรงแรม นานาบุรี ซึ่งเป็นโรงแรมที่พวกผมตั้งใจแค่ไปพักค้างคืน  โดยการ Check in ก็มีขั้นตอนที่ค่อนข้างเข้มงวดพอสมควร คือต้องมีการสแกนเพื่อกรอกข้อมูลต่างๆมากมาย รวมทั้งต้องโชว์หลักฐานว่ามีการฉีดวีคซีนครบแล้ว 2 โดส ถึงจะเข้าพักได้

ห้องก็ธรรมดาครับ สะดวกสบายพอสมควรสำหรับพักค้างคืนระหว่างทาง

ตอนเช้าพวกผมตื่นมา ก็รีบเดินไปหามื้อเช้าทานกันก่อนเพราะโรงแรมไม่มีมื้อเช้าให้ โดยพวกผมตั้งใจจะไปทานกันที่ร้านโชคดีแต้เตี้ยมติ่มซำ ซึ่งอยู่ตรงข้ามห้างโอเชียน และเดินไปจากโรงแรมได้ไม่ไกลเลย  แต่พอไปถึงวันนี้ร้านดันปิด ไม่ขายครับ

โชคดีติ่มซำปิด

พวกผมจึงถามคนแถวๆนั้น จึงได้ไปทานติ่มซำกันที่ร้านที่อยู่ในซอยข้างๆห้างโอเชียนแทน เป็นร้านแบบชาวบ้านจริงๆ รสชาติก็โอเคเลยครับ

มื้อเช้าวันนี้จัดเต็มกันเลย

ที่จริงๆแถวห้างโอเชียน มีแผงลอยอาหารเช้ามาขายเยอะเหมือนกัน ใครอยากหาอาหารเช้าแบบคนท้องถิ้นทานในชุมพรก็แวะมาแถวนี้ได้ครับ

อิ่มกันแล้ว พวกผมก็เดินกลับไปโรงแรมแล้ว check out เตรียมเดินทางยาวๆไปภูเก็ต แต่ก่อนจะเข้าภูเก็ต พวกผมตั้งใจไปแวะเที่ยวที่เสม็ดนางชี ซึ่งอยู่ในจังหวัดพังงากันก่อน

เสม็ดนางชี

        ชื่อของเสม็ดนางชี คงเป็นชื่อที่สำหรับคนที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวแล้วต้องเคยได้ยินมาก่อนแน่ๆ รวมทั้งคงต้องคุ้นกับภาพวิวแบบอลังการดาวล้านดวงของอ่าวพังงา จนผมบอกตัวเองมาตลอดว่าถ้ามีโอกาสเดินทางไปจังหวัดพังงาหรือภูเก็ต ผมจะต้องแวะไปชมวิวที่นี่ให้ได้

เสม็ดนางชี คือสถานที่ๆเราสามารถมองเห็นวิวทิวทัศนของภูเขารูปทรงแปลกตาจำนวนมากที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้สีเขียวคลึ้มไปทั้งภูเขาที่โผล่พ้นผิวน้ำมาสร้างภาพวิวทิวทัศน์ที่สวยงามไปไกลสุดลูกหูลูกตา จนกลายเป็นภาพความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่หาชมจากที่อื่นไม่ได้  

การเดินทางมาเสม็ดนางชี นั้นต้องใช้รถยนต์ส่วนตัวเท่านั้น เพราะเท่าที่ผมหาข้อมูลมายังไม่มีรถสาธารณะมาถึงเสม็ดนางชีได้ หากคุณเดินทางมาจากสนามบินภูเก็ต จะมีระยะห่างแค่ 44 กิโลเมตร หรือใช้เวลาแค่ 40-50 นาทีเท่านั้น

จริงๆ การไปการชมวิวที่เสม็ดนางชีมีทั้งจุดชมวิวที่เป็นสาธารณะ และจากรีสอร์ทที่มีชื่อเสียงมากๆ นั่นคือ เสม็ดนางชีบูทีค

เนื่องจากผมจองที่พักไว้ที่ภูเก็ตแล้ว ผมจึงถือโอกาสแวะมาทานมื้อเที่ยงและคาเฟ่ที่นี่ ซึ่งถ้าคุณไม่ได้จองห้องพัก ก็สามารถมาชมวิวเสม็ดนางชีจากรีสอร์ทแห่งนี้ด้วยการมาใช้บริการร้านอาหารหรือคาเฟ่เช่นกัน

การขึ้นรีสอร์ท ต้องนำรถมาจอดยังจุดให้บริการของทางรีสอร์ท รวมทั้งเป็นจุด Check in ของคนที่มาเข้าพักซึ่งถ้าคุณไม่ใช่แขกของโรงแรมแห่งนี้ คุณจะต้องเสียค่าบริการ 50 บาทต่อคน เพื่อขึ้นไปยังร้านอาหาร และสามารถเรียกรถอีกครั้งเพื่อขึ้นไปยังคาเฟ่ที่อยู่สูงขึ้นไปอีก รวมทั้งเรียกรถกลับลงมายังจุดจอดรถ โดยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม

จุดเด่นสุดๆเลยของร้านอาหารที่เสม็ดนางชีรีสอร์ทคือการได้ทานอาหารพร้อมกับได้ชมวิวอ่าวพังงาสุดอลังการแบบ 180 องศาเลย

อาหารของทางร้านจะเน้นอาหารใต้ มีรสชาติจัดจ้านแบบอาหารของภมิภาคนี้ซึ่งจากที่พวกผมลองสั่งมาทาน 4-5 เมนู ขอบอกว่าอร่อยและถึงรสชาติทุกอย่างเลยครับ 

จริงๆ แล้วที่ร้านอาหารมีเมนูของหวานเช่นกัน แต่เนื่องจากผมตั้งใจจะขึ้นไปทานของหวานกันที่คาเฟ่ด้านบน ผมจึงให้พนักงานช่วยเรียกรถอีกครั้งเพื่อขึ้นไปบนคาเฟ่ 

คาเฟ่ของเสม็ดนางชี เป็นอีกสถานที่ๆผมอยากแนะนำให้คุณต้องเยือน เพราะวิวของร้านอาหารที่ว่าสวยแล้ว วิวจากมุมสูงขึ้นไปของคาเฟ่ยิ่งสวยขึ้นไปอีก

บริเวณของคาเฟ่จะมีลักษณะเป็น outdoor มีการจัด layout ได้ดีมากๆเพราะทุกที่นั่งจะขนานไปกับวิวของอ่าวพังงา

ส่วนที่ใครที่เป็นคนรักการถ่ายรูป คุณจะต้องถูกใจแน่ๆ เพราะที่บริเวณนี้จะมีจุดถ่ายรูปมากมายหลายจุดจริงๆ โดยเฉพาะกระเช้าที่มีรูตรงกลางซึ่งวางตำแหน่งได้เหมาะเจาะพอดีให้ภูเขาที่โดดเด่นที่สุดของเสม็ดนางชีมาอยู่ในรูนี้พอดี รวมทั้งคุณเองก็สามารถขึ้นไปนั่งในกระเช้าในช่องตรงกลางนี้ให้เห็นเสม็ดนางชีกับตัวคุณไปด้วยกันได้

ถือว่าการมาทานอาหารและคาเฟ่ รวมทั้งชมวิวอ่าวพังงาที่สวยงามของเสม็ดนางชี ที่เสม็ดนางชีบูทีคครั้งนี้ของผมไม่ผิดหวังเลย เพราะภาพของเสม็ดนางชีที่ผมเห็นนั้นสวยงามกว่าที่ผมจินตนาการไว้อีก แถวร้านอาหารแห่งนี้ก็มีรสชาติที่ดีด้วย ไม่ได้ดีที่วิวอย่างเดียว ยิ่งในส่วนของคาเฟ่นั้นยิ่งได้วิวและมุมถ่ายรูปที่คุณต้องถูกใจมากๆ

ผมเขียนรีวิวเกี่ยวกับเสม็ดนางชีบูทีคไว้อย่างละเอียดแล้วที่ รีวิวร้านอาหารและคาเฟ่พร้อมวิวหลักล้านแบบอลังการของอ่าวพังงาที่เสม็ดนางชี บูทีค ลองตามไปอ่านกันได้ครับ

อิ่มกันแล้ว พวกผมก็วิ่งตรงเข้าสู่ภูเก็ตเลย ซึ่งก่อนจะเข้าเมืองภูเก็ตจะมีด่านตรวจคนที่เดินทางเข้าภูเก็ตทุกคน โดยทุกคนจะต้องมีการฉีดวัคซีน covid แล้ว รวมทั้งมีผลตรวจเชื้อ Covid ถ้าไม่มีก็ต้องตรวจแบบ ATK นะตรงด่านนี้เลยว่าไม่มีเชื้อจริงๆ ถือว่าทำได้เข้มงวดมากเลยครับ

ผ่านด่านกันมาแล้ว พวกผมก็ตรงเข้าโรงแรมกันเลย โดยผมเลือกพักที่โรงแรม Crest Resort and pool Villa ซึ่งเป็นโรงแรมที่มีห้องแบบ Pool Villa เห็นวิวทะเลภูเก็ตแบบสวยงามมากๆ 

วันนี้ที่พวกผมตั้งใจขับรถเข้ามาโรงแรมเลยก็เพราะต้องการมาใช้ Facility ต่างๆ ในโรงแรมกันก่อน เอาแค่ Pool Villa ขนาดใหญ่หน้าห้อง โดยมี zone ของอ่างน้ำวนอยู่ในสระด้วย แค่นี้ก็ฟินมากแล้วครับ

ส่วนห้องนั้นก็มาตรฐานดีตามโรงแรมระดับ 5 ดาวทั่วไป ซึ่งผมเขียนมาเล่าไว้อย่างละเอียดแล้ว ในตอน Review Crest Resort and Pool Villa จังหวัดภูเก็ต

หลังจากนอนพักกันในห้องสักพัก ก็ได้เวลาไปทานมื้อเย็นกัน ซึ่งพวกผมตกลงกันว่าจะทานกันที่โรงแรมนี่แหละ โดยที่โรงแรมจะมีห้องอาหาร Rooftop อยู่ด้านบนของโรงแรมชื่อ DIVA SKY LOUNGE 

จุดเด่นของร้านอาหารแหง่นี้คืออยู่ชั้นบนสุดของโรงแรม ทำให้เห็นวิวทะเลแบบ 180 องศา สวยทั้งกลางวันและกลางคืน

เมนูอาหารคือเหมือนไม่มีให้เลือกเยอะมาก แต่ราคาถือว่าแรงเลยครับ เช่น ผัดกระเพราะราคาจานละ 390 บาทเลย. ผมจึงสั่งมาทานกันไม่กี่อย่าง รสชาติก็ไม่ได้พิเศาอะไร จริงๆถ้าให้แนะนำผมคิดว่าออกไปทานด้านนอกกันดีกว่า

หลังอิ่มกันแล้ว พวกผมก็นั่งเม้ามอย เดินดูวิวกันอีกนิดหน่อย ก่อนจะกลับไปพักผ่อนเพื่อเตรียมพร้อมเที่ยวภูเก็ตแบบเต็มๆในวันรุ่งขึ้น ซึ่งผมจะเขียนมาเล่าให้คุณอ่านในจดหมายฉบับหน้านะครับ

อยากให้คุณไปอยู่ตรงนั้นด้วยกัน

Mgastronome

Fanpage M Eat and Travel

ใส่ความเห็น

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s